ทวงคืนสีชมพูให้ความเป็นชาย
โดยทั่วไป สีชมพูมักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนหวานและความเป็นหญิง อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมโยงระหว่างสีชมพูกับความหมายทางเพศดังกล่าวเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาผ่านการให้ความหมายของมนุษย์ ในมุมมองทางมานุษยวิทยา แมรี่ ดักลาส (Mary Douglas) (1966) ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มักใช้สัญญะในการกำหนดขอบเขตระหว่าง "เรา" กับ "เขา" เช่นเดียวกับการแบ่งแยกระหว่าง “ชาย” กับ “หญิง” สีชมพูจึงนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสัญญะที่ไม่เพียงแต่ถูกกำหนดให้เป็นสีของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงพฤติกรรมที่สังคมคาดหวังจากผู้หญิงที่ยึดโยงกับสีอย่างการแต่งกายอีกด้วย ในขณะเดียวกัน ผู้ชายโดยทั่วไปก็มักจะหลีกเลี่ยงเสียงกระซิบ คำแซว หรือหยอกล้อ ผ่านการไม่ใช้ข้าวของสีชมพูอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน กระแสการเคลื่อนไหวที่ท้าทายบรรทัดฐานของเพศและสีดังกล่าวเริ่มปรากฏตัวขึ้น โดยเฉพาะการพยายามปรับความหมายของสีชมพูให้มีความซับซ้อนและยืดหยุ่น อันเป็นการสร้างนิยามของความเป็นชายขึ้นมาใหม่โดยไม่ยึดติดกับความหมายแบบเดิม ๆ บทความนี้จะสำรวจประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และถอดรื้อสีชมพูในฐานะสัญญะที่ถูกผูกโยงกับเพศ พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าเหตุใดการทวงคืนสีชมพูให้กับความเป็นชายจึงถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับบรรทัดฐานทางเพศที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
***
การศึกษาทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าสีชมพูไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสีของผู้หญิงเสมอไป โจ บี. เพาเล็ตติ (Jo B. Paoletti) (2012) อธิบายว่า การเชื่อมโยงสีชมพูกับเด็กผู้หญิงและสีฟ้ากับเด็กผู้ชาย เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กล่าวคือ ย้อนกลับไปในยุควิคตอเรีย ทารกทั้งสองเพศมักถูกผู้ใหญ่สวมใส่ชุดสีขาวให้ แต่เมื่อเสื้อผ้าที่มีสีสันสำหรับทารกเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สีชมพูเป็นสีที่ถูกแนะนำให้สวมใส่สำหรับเด็กผู้ชาย เพราะถูกมองว่าเป็นสีโทนอ่อนของสีแดง ในขณะที่สีฟ้าซึ่งเป็นสีที่สงบและละเอียดอ่อนถูกแนะนำว่าเหมาะสมสำหรับสวมใส่เสื้อผ้าให้กับเด็กผู้หญิง (Paoletti, 2012) เธอยังอธิบายว่าก่อนที่สีชมพูและสีฟ้าจะถูกให้ความหมายกลับทิศกันในภายหลัง สีชมพูถูกให้ความหมายว่าเป็นสีที่แสดงความเข้มแข็งและเป็นชายสำหรับเด็ก ซึ่งเกิดจากการเชื่อมโยงความเป็นชายเข้ากับสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักรบ ความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญ หากแต่โดยวัยของความเป็นเด็กแล้ว สีชมพูซึ่งมีสีแดงเป็นแม่สีมีโทนสีที่อ่อนกว่า ส่งผลให้เข้ากับความเป็นเด็กมากกว่า เพาเล็ตติติดตามพัฒนาการของการเข้ารหัส (encode) สีเช่นนี้แล้วพบว่า กลยุทธ์การตลาดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการกำหนดเพศวิถีแบบทวิลักษณ์ผ่านสี
ตัวอย่างจากหลายพื้นที่ของโลกแสดงให้เห็นว่าการให้ความหมายต่อสีชมพูไม่ได้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับมิติทางเพศเท่านั้น เช่น ในอินเดีย เมืองชัยปุระ (Jaipur) ของรัฐราชสถาน เป็นเมืองได้รับสมญาว่าเมืองสีชมพู (Pink City) เนื่องจากเหล่าอาคารบ้านเรือนถูกทาด้วยเฉดชมพูตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เพื่อเป็นการต้อนรับเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) ในปี 1876 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมเรื่องการต้อนรับ ความเป็นมิตร และความเป็นมงคล มากกว่าจะผูกโยงสีชมพูกับความเป็นหญิงเท่านั้น ขณะเดียวกัน ในประเทศญี่ปุ่นเอง สีชมพูมักถูกโยงเข้ากับฤดูกาลชมดอกซากุระ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความงดงามและความไม่จีรังของชีวิต (transience) ที่ทุกคนไม่ว่าเพศใดก็สามารถชื่นชมได้ทั้งสิ้น ร่องรอยทางประวัติศาสตร์และตัวอย่างการตีความสีชมพูในแต่ละวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่า สีชมพูไม่ได้มีความหมายที่เป็นสากลในตัวเอง หากแต่มีพลวัตและถูกให้ความหมายอย่างหลากหลายตามบริบทสังคมวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น การกำหนดเพศให้กับสีชมพูจึงไม่ได้เป็นธรรมชาติอันคงที่ แต่เป็นผลผลิตของการประกอบสร้างทางสังคมว่าด้วยสีซึ่งถูกนำไปเชื่อมโยงกับเพศวิถีของมนุษย์
เมืองชัยปุระ https://shorturl.at/XWqdz
กล่าวได้ว่าการตลาดที่นำสีเข้ามาเกี่ยวข้องมีบทบาทสำคัญในการหยั่งรากความหมายให้สีชมพูกลายเป็นสีของผู้หญิง โดยเฉพาะเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ชนชั้นกลางมีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับรายได้ เมื่อผู้คนในประเทศมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น ภาคธุรกิจจึงวางแผนการตลาดของสินค้าที่จำเพาะเจาะจงต่อเพศเพื่อกระตุ้นการบริโภค สีนับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญซึ่งถูกออกแบบมาให้จำเพาะเจาะจงต่อเพศ สีจึงกลายเป็นเครื่องมือหลักในการโฆษณาของเล่น เสื้อผ้า และของตกแต่งห้องเด็ก โดยมีการใช้สีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิงและสีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชายอย่างสม่ำเสมอ จิตสำนึกในการกำหนดสีของสาธารณชนจึงมีความชัดเจนยิ่งขึ้น การใช้จ่ายของครัวเรือนในสหรัฐต่างก็มุ่งเป้าไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กชายและเด็กหญิงผ่านสีโดยเฉพาะในกลุ่มเสื้อผ้าและของเล่นสำหรับเด็ก บริษัทต่าง ๆ เองก็สามารถขายสินค้าได้มากขึ้นเนื่องจากผู้ปกครองจะต้องซื้อเสื้อผ้าและสิ่งของใหม่ ๆ ให้กับลูกแต่ละคนตามเพศของพวกเขา
หลังสงคราม สีถูกใช้เสริมสร้างบทบาททางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชายกลับมาจากการสู้รบและผู้หญิงได้รับการสนับสนุนให้ออกจากงานในช่วงสงครามและกลับไปใช้ชีวิตในบ้าน สีชมพูถูกให้ความหมายใหม่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิง การเลี้ยงดู และความเป็นบ้าน ซึ่งเป็นอุดมคติทางสังคมสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในสมัยนั้น ผลิตภัณฑ์ที่กำหนดเพศ รวมถึงเสื้อผ้าที่มีรหัสสี ช่วยเสริมบทบาทเหล่านี้มากขึ้น เนื่องจากสีชมพูถูกทำการตลาดโดยมองว่าเป็นสีที่นุ่มนวล อ่อนหวาน อ่อนโยน และบอบบาง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับอุดมคติของผู้หญิงและเด็กผู้หญิงหลังสงคราม ในขณะที่สีน้ำเงิน สีฟ้า สีดำ และสีอื่น ๆ ที่เข้มกว่าถูกให้ความหมายใหม่และทำการตลาดกับผู้ชายและเด็กผู้ชาย การแยกแยะผ่านการให้ความหมายในลักษณะนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมของเล่นและเสื้อผ้า ซึ่งเริ่มผลิตสินค้าที่กำหนดเพศอย่างชัดเจน เช่น ตุ๊กตาในบรรจุภัณฑ์สีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิงและฟิกเกอร์โมเดลสีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้น การนำเสนอผ่านสื่อและวัฒนธรรมในช่วงหลังสงคราม ตั้งแต่รายการโทรทัศน์ไปจนถึงนิตยสาร ล้วนมีส่วนตอกย้ำบรรทัดฐานและความคาดหวังทางเพศ ตัวละครหญิง โดยเฉพาะในรายการและโฆษณาสำหรับเด็ก มักถูกพรรณนาหรือทำให้แสดงออกว่าสวมใส่ชุดสีชมพูหรือรายล้อมไปด้วยสิ่งของสีชมพู ทำให้สีนี้ดูเชื่อมโยงกับความเป็นผู้หญิงมากยิ่งขึ้นไปอีก เพาเล็ตติ (2012) สรุปว่า การตลาดสีที่กำหนดเพศส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการรับรู้ทางวัฒนธรรมของความเป็นชายและความเป็นหญิง ผลที่ตามมาคือ ผู้ชายที่สวมใส่สีชมพูหรือเลือกผลิตภัณฑ์สีชมพูมักถูกมองว่าเบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานทางเพศแบบดั้งเดิม เนื่องจากสีชมพูกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนโยน ความละเอียดอ่อน และความเปราะบาง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่เชื่อมโยงกับความเป็นหญิง (Paoletti, 2012)
***
ความสัมพันธ์ระหว่างสีชมพูกับความเป็นผู้หญิงซึ่งเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นมาตรฐานให้กับการสร้างความหมายสากล ผ่านการขับเคลื่อนทางวัฒนธรรมตะวันตกและ โลกาภิวัตน์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อิทธิพลระดับโลกของสื่ออเมริกัน โดยเฉพาะภาพยนตร์ ฮอลลีวูดและรายการโทรทัศน์มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดรหัสสีที่บ่งบอกถึงเพศนี้ เนื่องจากตัวละครหญิงในชุดสีชมพูกลายมาเป็นสัญลักษณ์ทางภาพของความเป็นผู้หญิง (Steele, 2018) บริษัทข้ามชาติ เช่น แมทเทล (Mattel) ที่ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้อันโด่งดัง ได้ทำให้สีชมพูกลายเป็นสีสำหรับผู้หญิงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะส่งออกผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดที่บ่งบอกถึงเพศไปยังตลาดต่างประเทศ (Paoletti, 2012) การเติบโตของแบรนด์แฟชั่นตะวันตกและแบรนด์ระดับโลกยังได้ทำให้สีชมพูเป็นมาตรฐานในฐานะสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิงในวงการแฟชั่นทั่วโลก ขณะที่อุตสาหกรรมในท้องถิ่นเองก็มักจะนำบรรทัดฐานเหล่านี้มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมตะวันตก (Steele, 2018) นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัลยังเร่งให้สีชมพูซึ่งเป็นสีของผู้หญิงแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีผู้มีอิทธิพลและคนดังร่วมส่งเสริมความเกี่ยวข้องนี้ในระดับโลก (Elliot & Maier, 2014)
มาดอนน่าสวมชุดสีชมพูใน MV เพลง Material Girl
แอนดริว เจ เอลเลียต (Andrew J Elliot) และ มาร์คัส เอ ไมเออร์ (Markus A Maier) (2014) อธิบายว่าสีสามารถส่งอิทธิพลต่ออารมณ์ พฤติกรรม และการรับรู้ตนเองได้ โดยการรับรู้สีจะเชื่อมโยงกับความหมายที่ถูกกำหนดโดยปัจจัยทางวัฒนธรรมและสังคม การเชื่อมโยงสีชมพูกับความเป็นผู้หญิงสามารถทำให้ผู้ชายหลีกเลี่ยงสีนี้เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่ามีความเป็นผู้ชายน้อยลงหรือมีความอ่อนแอทางอารมณ์มากขึ้น (Elliot & Maier, 2014) อย่างไรก็ตาม เมื่อการรับรู้ทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับเพศพัฒนาไป ความหมายของสีก็เปลี่ยนไปด้วย ในปัจจุบัน แม้จะมีการเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และการตลาดระหว่างสีชมพูกับความเป็นผู้หญิง อีกทั้งความรับรู้ที่ว่าสีชมพูมีความเชื่อมโยงกับความเป็นหญิงยังมีอิทธิพลอยู่มาก แต่กระแสการทวงคืนสีชมพูสำหรับความเป็นชายเริ่มปรากฏให้เห็น การเคลื่อนไหวนี้สามารถเห็นได้ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งเสื้อผ้าสีชมพูสำหรับผู้ชายได้รับความนิยมมากขึ้น วาเลอรี สตีลี (Valerie Steele) (2018) อธิบายว่าแฟชั่นมีบทบาทสำคัญในการท้าทายบรรทัดฐานทางเพศแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับสี การที่บุคคลสาธารณะหลายคนรวมถึงนักดนตรีอย่างแฮร์รี่ สไตส์ (Harry Styles) และนักกีฬารักบี้อย่าง เคม นิวตัน (Cam Newton) หันมาสวมใส่เสื้อผ้าสีชมพู ช่วยทำให้สีนี้เป็นปกติสำหรับผู้ชายและรื้อสร้างการเชื่อมโยงแบบทวิภาคระหว่างสีชมพูและสีฟ้า (Steele, 2018)
แฮร์รี่ สไตส์ ในเสื้อผ้าสีชมพู https://shorturl.at/z4lPM
กล่าวได้ว่าการตีความสีชมพูแบบข้ามขนบ (transgression) เป็นสิ่งที่ท้าทายบรรทัดฐานดั้งเดิมซึ่งเปิดช่องให้กับการเจรจาต่อรองความหมาย (negotiation of meaning) ผ่านแฟชั่น ชายที่สวมเสื้อผ้าสีชมพูในพื้นที่สาธารณะไม่ได้ทำเพียงขยายขอบเขตของความเป็นชายเท่านั้น หากยังเผยให้เห็นว่าสีเป็นวัตถุที่ต้องอ่าน ตีความ และบางครั้งก็จำเป็นต้องถูกตั้งคำถามอย่างลึกซึ้งในสังคม การยอมรับสีชมพูสำหรับผู้ชายที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในทัศนคติทางวัฒนธรรมต่อเพศ แพท เคอร์แคม (Pat Kirkham) (1996) สำรวจว่าวัตถุต่าง ๆ รวมถึงเสื้อผ้าและสี ถูกกำหนดเพศในลักษณะที่สะท้อนความคาดหวังของสังคมอย่างไร เคอร์แคมอธิบายว่าการทวงคืนวัตถุและสีที่เป็นผู้หญิงแบบดั้งเดิมสำหรับผู้ชายเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้านบรรทัดฐานทางเพศที่เข้มงวด (Kirkham, 1996) การทวงคืนนี้จึงไม่เพียงแต่ท้าทายแนวคิดที่ว่าสีบางสีเป็นสีของผู้หญิงหรือผู้ชายโดยธรรมชาติ แต่ยังสนับสนุนความเข้าใจเกี่ยวกับเพศที่ยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
***
กล่าวโดยสรุปแล้ว การ “ทวงคืนสีชมพูให้ความเป็นชาย” ไม่ได้เป็นแค่ประเด็นการเลือกสีเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามถึงกรอบทวิลักษณ์ที่เคยยึดโยงสีชมพูไว้กับผู้หญิงด้วย การชี้ให้เห็นพลวัตของสีในเชิงประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมช่วยทำให้ตระหนักว่า ความเป็นหญิงหรือชายไม่ได้ผูกขาดอยู่กับสีในตัวเอง หากแต่ถูกกำหนดผ่านโครงสร้างทางอำนาจ การตลาด และอุดมการณ์ที่แฝงอยู่ในทุกแง่มุมของสังคม ในทางมานุษยวิทยา การปรับเปลี่ยนความหมายของสีชมพูที่ปรากฏตัวขึ้นในปัจจุบันจึงเป็นเครื่องสะท้อนว่าอัตลักษณ์ทางเพศและการแสดงออกทางเพศมีลักษณะยืดหยุ่น (fluidity) และสามารถต่อรองปรับตัวได้ตามเงื่อนไขทางสังคมและวัฒนธรรมยุคใหม่ เมื่อผู้ชายหรือนิยามความเป็นชายเลือกนำสีชมพูมาใช้อย่างไม่กังวลกับการถูกตีตรา นั่นจึงเป็นการบอกเป็นนัยว่าขอบเขตของการเป็นชายอาจกว้างและหลากหลายกว่าที่เคยเป็น นิยามความเป็นชายแนวใหม่จึงไม่ได้มองว่าการแต่งกายด้วยสีชมพูเป็นข้อจำกัด หากแต่เป็นการประกาศอิสรภาพจากบรรทัดฐานเพศที่ผูกขาดมายาวนาน
รายการอ้างอิง
Douglas, Mary. (1966). Purity and Danger: An Analysis of the Concepts of Pollution and Taboo. London: Routledge.
Elliot, A. J., & Maier, M. A. (2014). Color psychology: Effects of perceiving color on psychological functioning in humans. Annual Review of Psychology, 65(1), 95-120.
Kirkham, Pat (eds.). (1996). The Gendered Object. Manchester: Manchester University Press.
Paoletti, Jo B. (2012). Pink and Blue: Telling the Boys from the Girls in America. Indianna: Indiana University Press.
Steele, Valerie. (2018). Pink: The History of a Punk, Pretty, Powerful Color. London: Thames & Hudson.
ผู้เขียน
วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์
นักวิจัย ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ป้ายกำกับ สีชมพู ความเป็นชาย วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์