มานุษยวิทยากับการศึกษาพิพิธภัณฑ์
มานุษยวิทยาพิพิธภัณฑ์ศึกษา (Museum Anthropology) หมายถึงการทำงานด้านมานุษยวิทยาที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์หรือการศึกษาพิพิธภัณฑ์ในมิติทางมานุษยวิทยา โดยความหมายเหล่านี้สามารถมีได้แตกต่างกันออกไป โดยการศึกษามานุษยวิทยาวัฒนธรรมได้รวมเอาการศึกษาพิพิธภัณฑ์เข้าไว้ด้วย ในเวลาต่อมาการศึกษาพิพิธภัณฑ์ในมิติมานุษยวิทยาได้กลายเป็นสาขาหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศึกษาไปในที่สุด (Amiria, 2005)
มิติมานุษยวิทยาในการศึกษาพิพิธภัณฑ์มีประวัติความเป็นมายาวนานพอ ๆ กับการที่นักมานุษยวิทยาเข้าไปทำงานในพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นนักมานุษยวิทยาสายวัฒนธรรม นักโบราณคดี และนักมานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ โดยทั่วไปแล้วนักมานุษยวิทยาเหล่านี้มักทำงานในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ เนื่องจากวัตถุทางวัฒนธรรมบางชิ้นซึ่งถูกค้นพบโดยนักมานุษยวิทยา หรือนักโบราณคดีจะถูกอธิบายว่าเป็นงาน “ศิลปะ” ประเภทหนึ่ง ซึ่งจะถูกนำไปจัดเก็บและแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ภัณฑารักษ์บางคนที่เก็บรักษาดูแลวัตถุที่ได้จากสังคมชนเผ่าจึงเป็นนักมานุษยวิทยา แต่ในระยะเวลาต่อมาผู้ที่มาทำหน้าที่ภัณฑารักษ์คือนักประวัติศาสตร์ศิลปะ (Ira, 2002)
วัฒนธรรรมเชิงวัตถุทั้งหลายคือสิ่งที่ได้รับความสนใจจากพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเรียกว่า “ศิลปะ” หรืออะไรก็ตาม วัตถุทางวัฒนธรรมทั้งหลายจะถูกมองว่าเป็นสิ่งของที่ถูกสร้าง นำไปใช้โดยมนุษย์และสิ่งของเหล่านี้ก็มีความหมาย การทำงานพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันให้ความสนใจกับเรื่องการประเมินคุณค่าของวัตถุ ซึ่งมีการศึกษาว่าวัตถุแต่ละอย่างจะอธิบายวัฒนธรรมได้อย่างไร และคิดทบทวนว่าการศึกษาวัฒนธรรมเชิงวัตถุซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ควรจะเป็นอย่างไร นักวิชาการในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พยายามเสาะหาแนวคิดทฤษฎีเพื่อมาอธิบายความหมายที่ถูกต้องของวัฒนธรรมเชิงวัตถุ โดยแนวการศึกษาของนักวิชาการเหล่านั้นแตกต่างจากสิ่งที่นักมานุษยวิทยาทำในพิพิธภัณฑ์ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา ความเข้าใจวัฒนธรรมเชิงวัตถุก็เริ่มแบ่งแยกอย่างชัดเจน ระหว่างนักวิชาการที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์ และผู้ที่เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ (David and Melvin, 1996)
เมื่อเกิดความเข้าใจที่ต่างกัน ทำให้คณะกรรมการของนักมานุษยวิทยาที่ศึกษาพิพิธภัณฑ์ได้ผลิตวารสารMuseum Anthropology พร้อมกับนิทรรศการที่แนะนำนักมานุษยวิทยาอเมริกัน วารสารและนิทรรศการนี้เองทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ว่านักมานุษยวิทยาทำงานอะไรในพิพิธภัณฑ์ และเกิดสาขาย่อยมานุษยวิทยาพิพิธภัณฑ์ในเวลาต่อมา วารสารของคณะกรรมการดังกล่าว ได้กล่าวถึงวารสารรุ่นแรกของสมาคมพิพิธภัณฑ์อเมริกัน ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1970 ซึ่งมีคำสนทนาของนักมานุษยวิทยาหลายคนปูทางให้เกิดการศึกษามานุษยวิทยาพิพิธภัณฑ์ขึ้น (David & Ember, 1996)
การศึกษาพิพิธภัณฑ์ในมิติทางมานุษยวิทยาอเมริกาและยุโรปมีความแตกต่างกัน แต่การศึกษาพิพิธภัณฑ์ในสองประเทศนี้เริ่มขยายตัวในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งอยู่ในช่วงการแผ่ขยายของลัทธิอาณานิคมและทุนนิยม ช่วงเวลาดังกล่าวนี้คือสิ่งที่นักมานุษยวิทยารุ่นถัดมาเริ่มหันมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะพิพิธภัณฑ์ในยุคอาณานิคมที่เกิดในอเมริกาและแคนาดาล้วนตกอยู่ใต้อำนาจการเมืองและชาตินิยม อย่างไรก็ตาม พิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ในฐานะสถาบันทางสังคมก็ถูกสถาปนาโดยรัฐ พิพิธภัณฑ์ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติที่เกิดใหม่ พิพิธภัณฑ์หลาย แห่งในชาติที่เกิดใหม่ หรือในประเทศที่เกิดมานานแล้วบางประเทศจึงเริ่มปรับท่าทีของตนเอง โดยการนำประเด็นในชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องสุขภาพมาจัดแสดงสู่สาธารณะพร้อมกับเรื่องราวทางศิลปะ ประวัติศาสตร์และโบราณคดี พิพิธภัณฑ์แห่งชาติต้องการสร้างสำนึกของการอยู่ร่วมกัน ความเป็นชาติเดียวกัน และมีเอกลักษณ์ของชาติเหมือนกัน โดยไม่สนใจชนกลุ่มน้อยที่มีวัฒนธรรมที่ต่างไป ชนกลุ่มน้อยจึงหันไปสร้างพิพิธภัณฑ์ของตัวเองเพื่อเล่าเรื่องราวทางวัฒนธรรมและประเพณีที่พวกเขายกย่อง (Barbara, 1998)
อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์ที่สนใจเหตุผลทางการเมือง และนักวิชาการที่สนับสนุนให้มีการคิดใหม่เกี่ยวกับการเขียนประวัติศาสตร์ คือผู้ที่กำลังต่อสู้ภายในชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มอำนาจต่าง ๆ นักวิชาการเหล่านี้ต้องการทำงานร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ และต้องการให้มีการยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้น การศึกษาของจอร์จ อับบรัม เกี่ยวกับการส่งคืนเข็มขัดลูกปัดให้กับชนพื้นเมือง 6 กลุ่ม ซึ่งเข็มขัดนี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อเมริกันอินเดียนในนิวยอร์ค จอร์จอธิบายว่าการส่งคืนวัตถุทางชาติพันธุ์นี้อาจไม่ใช่เรื่องกฎหมายอย่างเดียวแต่เป็นเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมด้วย ข้อโต้แย้งยังคงดำเนินต่อมา วิลเลียม สจ๊วตวอง ภัณฑารักษ์จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสมิธโซเนียน ให้ความเห็นว่าการส่งคืนวัตถุทางชาติพันธุ์ให้กับชนพื้นเมือง เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่าวัตถุในพิพิธภัณฑ์เป็นของใคร รวมทั้งเปลี่ยนวิธีคิดของการทำงานของภัณฑารักษ์ และปรัชญาของพิพิธภัณฑ์ ว่าพิพิธภัณฑ์ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เกี่ยวกับการดูแลวัตถุในพิพิธภัณฑ์โดยวัตถุมิใช่ของที่แตะต้องไม่ได้ หากแต่ควรนำวัตถุเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์เพื่อคนรุ่นหลังมากกว่า (Ira, 2002)
ซูซาน เพียร์ซ (1989) อธิบายถึงประวัติศาสตร์การศึกษามานุษยวิทยาพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษไว้ว่าการทำงานในพิพิธภัณฑ์ของนักมานุษยวิทยาหรือนักโบราณคดีทั้งในอเมริกาและอังกฤษล้วนผูกพันธ์กับมหาวิทยาลัย การศึกษาของอีวาน คาร์พ และ เอส ดี ลาวีน ในปี ค.ศ. 1991 ในประเด็น Exhibiting Cultures ได้อธิบายเกี่ยวกับการจัดแสดงวัตถุในพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ ซึ่งมีการใช้วัตถุในการแสวงหาตัวตน ประเด็นนี้เป็นที่สนใจในหมู่นักวิชาการหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นนักมานุษยวิทยา นักประวัติศาสตร์ นักวรรณคดี นักรัฐศาสตร์ เป็นต้น
การศึกษาของแอนนา ลอร่า โจนส์ เรื่อง Exploding Cannons The Anthropology of Museums (1993) อธิบายว่าการจัดแสดงวัตถุของมนุษย์จากดินแดนนอกตะวันตกในพิพิธภัณฑ์ เป็นผลมาจากการศึกษาทางมานุษยวิทยาในรุนแรก ๆ โจนส์เชื่อว่าการจัดแสดงวัตถุในพิพิธภัณฑ์มีปัญหาทางจริยธรรมและการใช้อำนาจ รวมถึงนโยบายของรัฐที่มีต่อพิพิธภัณฑ์ โจนส์จึงเรียกร้องให้นักมานุษยวิทยาที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์เปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่เพื่อมิให้ดำเนินรอยตามความคิดแบบอาณานิคม
นอกจากนี้ การศึกษาของไมเคิล เอมส์ เรื่อง Biculturalism in Exhibition (1991) อธิบายถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโลกปัจจุบัน และเรียกร้องให้มีความร่วมมือกันระหว่างคนทำพิพิธภัณฑ์กับเจ้าของวัตถุที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เช่นการแสดงเรื่อง Into the Heart of Africa ในพิพิธภัณฑ์ออนทาริโอ ซึ่งมีชาวแอฟริกันในแคนาดาออกมาคัดค้าน นักวิชาการเริ่มมองเห็นประวัติศาสตร์ความคิดในการสร้างและการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ และการทำให้พิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชน
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้การจัดแสดงเรื่องราวของวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑ์ต่างไปจากเดิม การศึกษาด้านพิพิธภัณฑ์ จึงเริ่มให้ความสนใจประเด็นเกี่ยวกับความคิดในการจัดแสดงระหว่างนักวิชาการกับผู้ที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์ขึ้น ก่อให้เกิดแนวคิดเรื่องสถาบันทางวัฒนธรรม และมีการตีความว่าพิพิธภัณฑ์คือสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมยุคแรก ๆ ในโลกตะวันตก นอกจากนี้ นักมานุษยวิทยายังมีการทบทวนการเก็บข้อมูล การจัดแสดง การตีความ และการจัดเก็บวัตถุในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคมและการเมืองยุคโลกาภิวัตน์ ดังนั้นการแสวงหาความหมายของวัตถุประเภทต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายนักมานุษยวิทยาที่ทำงานด้านพิพิธภัณฑ์ต่อไปอย่างไม่จบสิ้น (Maxine and Antonio, 2015)
บรรณานุกรม
Amiria Henare 2005. Museums, Anthropology and Imperial Exchange. New York: Cambridge University Press.
Antonio R. Chavarria and Maxine E. McBrinn. 2015. Museum Anthropology: Continued Conversations in the Field. Museum Anthropology, Volume 38, Issue 1, 3–14, Spring 2015
Barbara Kirshenblatt-Gimblett 1998. Destination Culture: Tourism, Museums, and Heritage. Berkeley: University of California Press.
David Levinson and Melvin Ember (eds.) 1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. 1996, pp.813-816.
Ira Jacknis 2002. The Storage Box of Tradition: Kwakiutl Art, Anthropologists, and Museums, 1881–1981. Washington: Smithsonian Institution Press.
Maxine McBrinn and Antonio Chavarria. 2015. Change and Stability in Museum Anthropology. Museum Anthropology, Volume 38, Issue 1, 1–2, Spring 2015
ผู้เขียน
ณัฐนรี ชลเสถียร
นักวิจัย ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ป้ายกำกับ มานุษยวิทยา พิพิธภัณฑ์ ณัฐนรี ชลเสถียร