ส่องซอกหลืบหลังแนวตึกชิโนโปรตุกีสของ “ภูเก็ตโอลด์ทาวน์”: คนจนอยู่ที่ไหน…? ของการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า
ผู้เขียนมีโอกาสลงพื้นที่ภาคสนามจังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568 ในโครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 โดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) จึงหยิบยกข้อมูลและปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเพื่อนำเสนอเกี่ยวกับความเป็นจีน อัตลักษณ์ การปรับตัว และการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เมืองที่ถือได้ว่ามีความเจริญทางเศรษฐกิจเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย บทความนี้ผู้เขียนมองผ่านแว่นสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในฐานะ “นักท่องเที่ยวแบบเนิบช้า” ที่มีประสบการณ์เดินทางถึงจังหวัดภูเก็ตด้วยความตั้งใจเป็นครั้งที่ 2 ข้อมูลที่จะกล่าวถึงเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ถูกกลั่นกรองผ่านแว่นของผู้เขียน ที่ชวนผู้อ่านทำความเข้าใจและตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับภูเก็ตได้
ดังนั้น เพื่อเติมเต็มมุมมองที่ลุ่มลึกมากขึ้นผู้เขียนได้ค้นคว้าข้อมูลเชิงเอกสาร บทความวิชาการ และข้อมูลจากแหล่งสืบค้น การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมกับ “ผู้นำทักษะทางวัฒนธรรม” การสนทนาแบบเจาะจงกับ กั้ม กฤตานนท์ ทศกูล ผู้ก่อตั้ง Save the Earth Cinematography และ ซี สุรสิทธิ์ พงษ์เลิศปภากุล นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) เพื่อนร่วมเดินทางในครั้งนี้
ผู้เขียนแบ่งการอธิบายออกเป็น 6 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่หนึ่ง สนทนากับ 'เจ้าบ้าน' จีนเพอรานากัน ณ บ้านชินประชา ประเด็นที่สอง ในฐานะ “นักท่องเที่ยว” แบบเนิบช้า (slow movement) ประเด็นที่สาม "ภูเก็ตโอลด์ทาวน์" ในสายตาของนักท่องเที่ยวเนิบช้า ประเด็นที่สี่ ในสายตา “คนนอก” เมื่อมาเยือนภูเก็ตโอลด์ทาวน์ ประเด็นที่ห้า สะท้อน “พื้นที่” (space) และโอกาสของคนชายขอบในการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า และประเด็นสุดท้าย คำถามและข้อสงสัยที่ว่า “คนจนอยู่ที่ไหน…?” ของการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า
ภาพ: บรรยากาศการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า เส้นทางการท่องเที่ยวสังเกตเห็นกลิ่นอายของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของความเป็นจีน พร้อมทั้งมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
1. สนทนากับ “เจ้าบ้าน” จีนเพอรานากัน ณ บ้านชินประชา
จังหวัดภูเก็ต มีชุมชนชาวจีนตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะ โดยเฉพาะแหล่งทำกินที่เป็นพื้นที่ค้าขาย พื้นที่ทำเหมืองแร่ดีบุก และพื้นที่เกษตรกรรม อาคารบ้านเรือนที่เกิดขึ้นทั้งเป็นชุมชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่กลุ่มอาคารตึกแถวและอาคารพักอาศัยแตกต่างกันตามบริบทที่ตั้งและบริบททางสังคม ชาวจีนภูเก็ตยังคงรักษาขนบธรรมเนียมและประเพณีในรูปแบบสังคมจีนไว้ค่อนข้างสูง (ศุลีมาน นฤมล วงศ์สุภาพ 2544, 41 อ้างอิงจาก อาภาภรณ์ วงศ์ลักษณพันธ์ และคณะ, 2562) สอดคล้องกับข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์เพอรานากันนิทัศน์ ชี้ว่า แต่เดิมภูเก็ตเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ประมง และป่าไม้ ผู้คนดั้งเดิมอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อการยังชีพ
การเข้ามาของเหมืองแร่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม กระทั่งพัฒนากลายเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเมืองหนึ่งบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งสอดคล้องกับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 5 ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนปลายรัชกาลที่ 4 เกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทของ “ตั๋วเหีย” สองกลุ่มประกอบด้วยสมาคมที่ตั้งขึ้นโดยชาวจีนเป็นกรรมกร “เหมืองแร่ดีบุก” (ดำรงราชานุภาพ, 2559: 245-247, อ้างอิงจาก พิชัย แก้วบุตร, 2567) สำหรับคนที่สนใจตามต่อเกี่ยวกับประเด็นนี้ อาจสืบค้นผ่านเหตุการณ์ทางสังคมและประวัติศาสตร์ “อั้งยี่” เนื่องจากในบทความนี้ผู้เขียนไม่ได้ลงรายละเอียด
1.1 “จีนเพอรานากัน” ลูกจีนเลือดผสม “บาบ๋า-ย่าหยา”: “เพอรานากัน” คือ คำในภาษามลายูจากรากศัพท์คำว่า Peran แปลว่า “พื้นบ้าน” และคำว่า Akan แปลว่า “คน” เมื่อรวมกันจึงหมายถึง “คนที่เกิดที่นี่” หรือแปลว่า “ฉันเกิดที่นี่” สืบทอดรากเหง้า วัฒนธรรม และจิตวิญญาณที่เรียกว่า “วัฒนธรรมเพอรานากัน” วัฒนธรรมลูกผสมจากบรรพบุรุษของ “ชาวฮกเกี้ยน” ที่เดินทางมาไกลแสนไกล จากมณฑลฝูเจี้ยน (Fujian) ประเทศจีน ข้ามโพ้นทะเลมายังคาบสมุทรมลายูผ่านช่องแคบมะละกา และไหลเข้ามาบริเวณภูเก็ต “จีนเพอรานากัน” เป็นสายเลือดลูกผสมระหว่าง “มลายู” กับ “จีน” ซึ่งชาวตะวันตกเรียกชุมชนแถบนี้ว่า “ช่องแคบจีน” (traits Chinese) (อิสรากรณ์ ผู้กฤตยาคา, 2024)
การสนทนากับ โกติว ชนะชนม์ ตันฑวณิช พบว่า ย้อนเวลากลับไปราว 700 ปี ชาวจีนเดินทางเข้ามาแถบคาบสมุทรมลายูที่เป็นช่องทางการค้าช่องแคบมะละกา คนจีนกลุ่มนี้ได้ปรับตัวทางสังคมและวัฒนธรรมผสมผสานกับชาวมลายูอย่างเป็นพลวัต และย้ายถิ่นฐานเข้ามาถึงบริเวณชายฝั่งอันดามันจังหวัดภูเก็ต ช่วงเวลาเดียวกันกับการเข้ามาของอาณานิคมฝรั่งเศสและโปรตุเกสที่เข้ามาในดินแดนแถบอุษาคเนย์
ภาพ: โกติว ชนะชนม์ ตันฑวณิช บอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และประเพณีของชาวจีนภูเก็ตและ“บาบ๋า-ย่าหยา”, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3.
วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ซึ่ง พี่เล็ก ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหาร ขนม และเสื้อผ้า คนจากชุมชนบ่านซ่านจุ้ยตุ่ย เป็นลูกจีนเลือดผสมรุ่นลูกหลานได้บอกเล่าเรื่องราวของ “จีนเพอรานากัน” ผ่านผ้าและเครื่องแต่งกาย ชี้ว่า สังคมและวัฒนธรรมของชาวจีนได้ปรับตัวและผสมผสานกับชาวมลายูเรื่อยมา ปรากฏผ่านเครื่องแต่งกายแบบ “ลูกผสม” และปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยเป็นพลวัต พี่เล็กแบ่งยุคสมัยออกเป็น 3 ยุค ได้แก่ 1) ยุคผ้าลันดา เป็นวัฒนธรรมการปักผ้าลูกไม้จากฮอลันดากระทั่งเกิดสงครามผ้าหายากจึงเข้าสู่ 2) ยุคผ้าหาลูกไม้ไม่ได้ การเย็บปักผ้าปรับเปลี่ยนตามวัสดุที่หาได้อย่างจำกัด และ 3) ยุคผ้าบีกู เป็นยุคอุตสาหกรรมที่มีความเจริญรุ่งเรือง ใช้เทคโนโลยีในการเย็บตัดผ้า และมีเครื่องประดับตกแต่งที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมชองชาวโปรตุเกส
พบอีกว่า สังคมฮกเกี้ยน ผู้หญิงมักอยู่ในครัว ผู้ชายอยู่นอกบ้าน การแต่งกายและเครื่องประดับเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความมั่งคั่ง อำนาจทางสังคม สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมทั้งบทบาทในครอบครัว สมัยนั้นผู้หญิงจะแต่งงานเข้าบ้านของผู้ชาย โดยผู้หญิงที่แต่งงานต้องจากครอบครัวเพื่อเข้าบ้านผู้ชาย มีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าและเครื่องประดับติดตัว ซึ่งจำนวนและความงดงามของเครื่องประดับเป็นตัวบ่งชี้ถึงสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้หญิง ส่วนผู้ชายเป็นฝ่ายสร้างเรือนหอต้อนรับให้สมฐานะ อีกทั้งสมัยนั้นนิยมแต่งงานแบบ “คลุมถุงชน” อย่างไรก็ดี การอาศัยอยู่ร่วมกันได้นำไปสู่การปรับตัวทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจผ่านการแต่งงาน สืบทายาทเรียกว่า “บาบ๋า-ย่าหยา” ซึ่ง บาบ๋า (Baba) เป็นลูกจีนเลือดผสมเพศชาย และย่าหยา (Nyonya) เป็นลูกจีนเลือดผสมเพศหญิง อีกทั้งพี่เล็ก และโกติว ได้นำเสนอความเป็น “บาบ๋า-ย่าหยา” ผ่านวัฒนธรรมอาหารและขนมในพิธีกรรมอีกด้วย
ภาพ : พี่เล็ก ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหาร ขนม และเสื้อผ้า คนจากชุมชนบ่านซ่านจุ้ยตุ่ย บอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวของชาวจีนภูเก็ตและ “บาบ๋า-ย่าหยา” ผ่านการแต่งกาย เสื้อผ้า และเครื่องประดับ, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
1.2 “จีนโพ้นทะเล” กับการถลุง “แร่ดีบุก” และการกลายเป็นเมืองสร้างสรรค์
การอพยพของชาวจีนโพ้นทะเลท่ามกลางวิกฤตราชวงศ์และสงครามฝิ่น นำไปสู่การตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ถลุงแร่ดีบุกภูเก็ต เป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญหนึ่งของความเป็นภูเก็ต ชาวจีนฮกเกี้ยนได้นำวัฒนธรรมและความเชื่อมาผสมผสานกับวัฒนธรรมไทยและมาเลย์ ก่อเกิด “วัฒนธรรมเพอรานากัน” ที่เป็นรากเหง้าแห่งอัตลักษณ์ภูเก็ตที่กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองกับการหลอมรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ พบว่า “ชาวจีนโพ้นทะเล” อพยพมาเมืองไทยและนำวัฒนธรรม วิถีชีวิต ศาสนา และความเชื่อมายังประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัฒนธรรม “จีนฮกเกี้ยน” ในจังหวัดภูเก็ตที่ผสมผสานวัฒนธรรมจีนกับวัฒนธรรมไทยที่เป็นวัฒนธรรมหลัก สะท้อนถิ่นการตอบสนองต่อความต้องการทางสังคมและปัจเจกบุคคล ทั้งเรื่องความเชื่อและสำนึกรู้อัตลักษณ์ของความเป็นจีนในสังคมไทย
(กิตตินันท์ เครือแพทย์ และพิม เดอะ ยง, 2563) พบว่า สาเหตุสำคัญหนึ่งที่เป็นแรงขับให้ชาวจีนออกเดินทางมาอยู่แถบนี้ คือ ความระส่ำระสายของราชวงศ์จีนกับปัญหาสงครามฝิ่นที่ส่งผลต่อภาวะความหิวโหยอดอยาก รวมทั้งพื้นที่บริเวณคาบสมุทรมลายูที่เป็นภูเขาหินแกรนิตเหมาะสำหรับการถลุง “แร่ดีบุก” แหล่งถลุงแร่ดีบุกที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ “เกาะปีนัง” ดึงดูดทั้งชาวจีนและชนชาติอื่นให้เข้ามา ความหนาแน่นของประชากรเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ทั้งชาวจีนและชาวจีนเลือดผสมเดินทางต่อมาลงหลักปักฐานบริเวณภูเก็ตอย่างเป็นพลวัต
“ชวนมองเมืองภูเก็ตจาก “ป่า” เป็น “เหมือง” สู่การเป็น “เมือง” และแหล่งท่องเที่ยวภูเก็ตสร้างสรรค์ พบอีกว่า การผสมผสานทางสังคมและวัฒนธรรมได้เพิ่มความเป็นลูกจีนเลือดผสม 3 วัฒนธรรม คือ จีน มาเลย์ และไทย “วัฒนธรรมเพอรานากัน” กลายเป็นรากเหง้าของจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันแร่ดีบุกยังเป็นที่ต้องการของตลาด แต่การถลุงแร่ได้รับความนิยมน้อยลง ส่งผลให้คนภูเก็ตปรับตัวและช่วงชิงพื้นที่การท่องเที่ยวเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ และยูเนสโกเลือกภูเก็ตให้เป็นหนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสร้างสรรค์ หรือ Creative Cities Network ระดับโลก ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสลงพื้นที่ภาคสนามในฐานะ “นักท่องเที่ยวแบบเนิบช้า” ซึ่งจะเล่ารายละเอียดในส่วนถัดไป
ภาพ: การทำเหมืองแร่ดีบุกแบบเหมืองสูบในตำบลระแงง (ปัจจุบันคือตำบลวิชิต) เมืองภูเก็ต ถ่ายเมื่อวันที่
4 กุมภาพันธ์ 2471 (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ), อเนก นาวิกมูล และคณะ (2558).
ภาพ: เรือใบหน้าท่าโรงภาษี เมืองภูเก็ต ถ่ายวันที่ 25-30 เมษายน 2452, (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ), อเนก นาวิกมูล และคณะ (2558).
ภาพ: บรรยากาศการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า เส้นทางการท่องเที่ยวสังเกตเห็นกลิ่นอายของวัฒนธรรมและ
อัตลักษณ์ของความเป็นจีน พร้อมทั้งมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
2. ในฐานะ “นักท่องเที่ยว” แบบเนิบช้า (slow movement)
เฉลิมพร วรพันธกิจ และคณะ (2565) ได้กล่าวถึงการท่องเที่ยวแบบเนิบช้าจังหวัดภูเก็ต โดยชี้ให้เห็นว่า ความสำคัญของการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งแนวคิด “การท่องเที่ยวแบบเนิบช้า” (slow movement) เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ตและประเทศไทย การท่องเที่ยวแบบเนิบช้าเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการใช้เวลาช้า ๆ ในการเที่ยวชมที่ต่าง ๆ แบบไม่เร่งรีบ หรือใช้เวลาในการเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านการท่องเที่ยวแบบสบาย ๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการท่องเที่ยว ผู้เขียนชวนผู้อ่านสวมบทบาทตัวเองไปพร้อมกับการเป็น “นักท่องเที่ยวเนิบช้า” ที่โชคดีบังเอิญค้นพบ (serendipity) ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็น “จีนภูเก็ต” อัตลักษณ์ทางสังคม/วัฒนธรรม การปรับตัว การกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบเนิบช้า หรืออื่น ๆ
ภาพ: ผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 2-3 ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม, ผู้เขียนให้การลงพื้นที่ภาคสนามนี้ว่า “ท่องเที่ยวแบบเนิบช้า”(slow movement), โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ภาพ: ผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
3. "ภูเก็ตโอลด์ทาวน์" ในสายตาของนักท่องเนิบช้า
การลงพื้นที่ภาคสนามได้รับความอนุเคราะห์จาก อาจารย์ธำรงค์ บริเวธนันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เป็นผู้นำชมแหล่งท่องเที่ยวแบบเนิบช้าย่าน “ภูเก็ตโอลด์ทาวน์” ผู้เขียนได้เริ่มต้นเส้นทางจาก มิวเซียมภูเก็ต Museum Phuket เป็นสถานที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นภูเก็ต ย่านเก่า อาคารเก่า หลังจากนั้นได้เดินต่อเพื่อยลเสน่ห์วิถีแห่งภูเก็ตในย่านเมืองเก่า Land Mark แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เอกสารนำเที่ยว “Phuket: เมืองเก่าเล่าเรื่องกินดีอยู่ดีวิถีมีสุข” โดยงานพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว เทศบาลนครภูเก็ต ระบุว่า เส้นทางย่านเมืองเก่าภูเก็ตเป็นเส้นทางแบบ Chill Chill ได้แนะนำสถานที่สำคัญหลากหลายไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยวสาย Chill หรือนักท่องเที่ยวแบบเนิบช้า เช่น ซอยรมณีย์ อดีตสถานบันเทิงเริงรมย์ บ้านชินประชา อาคารชิโน-ยูโรเปียนรูปแบบ “อังหมอหล่าว” หลังแรกในภูเก็ต ศาลเจ้าแสงธรรม ที่ประดิษฐานเทพเจ้าจีนที่สายตระกูลแซ่ตันนับถือ มีภาพเขียนลายเส้นดำเนินเรื่อง ซิยิ่นกุ้ย แห่งราชวงศ์ถัง เป็นต้น
ผู้เขียนเดินไปอย่างเนิบช้า “สองตามองสอดส่อง สองหูฟังเรื่องราวประกอบ” จากคำบรรยายของอาจารย์ธำรงค์ ที่บอกเล่าฉายภาพเรื่องราวเมืองภูเก็ตอย่างเป็นพลวัต ขณะที่เดินผู้เขียนมองลอดสอดส่องด้วยสายตาไปทั่ว พบว่า ประวัติศาสตร์ภูเก็ตที่เกิดขึ้นอย่างยาวนานและเป็นเมืองเศรษฐกิจการค้า ได้ดึงดูดผู้คนหลากหลายเชื้อชาติให้เข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า ปัจจุบันอาคารต่าง ๆ ถูกปรับเปลี่ยนฟังก์ชันรองรับการใช้งานตามยุคสมัย ทั้งอยู่อาศัย เป็นร้านค้าขายสินค้า ร้านยา คาเฟ่ ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก ฯลฯ
ภาพ: อาจารย์ธำรงค์ บริเวธนันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต บรรยายระหว่างลงพื้นที่ภาคสนามร่วมกับผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ภาพ: ถนนและบ้านเรือนในตัวเมืองภูเก็ต, (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ), อเนก นาวิกมูล และคณะ (2558).
4. ในสายตา “คนนอก” เมื่อมาเยือนภูเก็ตโอลด์ทาวน์
ผู้เขียนสนทนากับ กั้ม กฤตานนท์ ทศกูล ผู้ก่อตั้ง Save the Earth Cinematography เพื่อนร่วมเดินทางท่องเที่ยวแบบเนิบช้าผู้มาเยือนภูเก็ตเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ตั้งแต่วัยเด็กถึงปัจจุบัน กั้ม เล่าสะท้อนให้เห็นว่าการเดินท่องเที่ยวแบบเนิบช้านี้ทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนเดินอยู่แถบประเทศยุโรป มองเห็นตึกเก่าท่ามกลางบรรยากาศบ้านเมืองที่มีสีสันโทนร้อน ตึกรามบ้านช่องมีความเป็น “ชิโน-โปรตุกีส” แทรกซึมและประยุกต์สอดรับการท่องเที่ยวเมืองภูเก็ต เป็นการปรับปรุง “พื้นที่” โดยคนที่มีกำลังทางเศรษฐกิจสูง หรือ “กลุ่มทุน” ที่แปลงร่างเมืองเก่าให้เข้ากับวิถีชีวิตปัจจุบัน กั้ม กล่าวว่า “การที่กลุ่มทุนเข้ามากว้านซื้อเอา “จิตวิญญาณ” หรือถอด “เปลือก” ของความเป็นเมืองเก่าไปและการประกอบสร้างใหม่ ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียที่ทำให้อาคารเก่าที่กำลังจะล้มหายตายจากกลับมามีคุณค่าและได้รับการรักษา แต่อีกด้านหนึ่ง “กลิ่นอายของชุมชนหายไป” อนุมานได้ว่า คนที่เข้ามาอยู่อาศัยไม่ได้เป็นคนพื้นถิ่นเดิม มองด้วยสายตาอาจจะเป็นทั้งคนที่อยู่เดิมและคนนอกที่เข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ บางคนมองเห็นหน้าตาเหมือนบ้านเราแต่พอสนทนาเขาใช้ภาษาอังกฤษ หรือทั้งมองเห็นบางร้านคาดว่าเจ้าของเป็นฝรั่ง”
อย่างไรก็ดี ถือเป็นแหล่งสีสันในมุมการท่องเที่ยวที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ รายได้ ผ่านการท่องเที่ยวภูเก็ตที่ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวทะเล เป็นการท่องเที่ยวหลากหลายผ่านเรื่องราวความเป็นภูเก็ต ก็พบว่าช่วงนี้นักท่องเที่ยวน้อยอาจจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับปัญหาทางสังคมของประเทศไทย เช่น Scammer กับการค้ามนุษย์ในประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ปัญหาชาวต่างชาติยึดธุรกิจภูเก็ตทำให้ความเป็นสยามเมืองยิ้มหายไป ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา การหันไปนิยมท่องเที่ยวในประเทศอื่นที่มีความดึงดูดน่าสนใจมากกว่า หรืออาจไม่ได้อยู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เป็นต้น “ตอนนี้ เราต้องทบทวนว่าสิ่งที่ภูเก็ตมีอยู่มันดึงดูดนักท่องเที่ยวมากพอแล้วหรือยัง?”
ภาพ: แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ, แผนที่รังวัดที่ดินเมืองภูเก็ต ร.ศ.129 พิมพ์โดยกรมแผนที่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2453. (สมบัติของหม่อเส้งมิวเซียม นายเผด็จ วุฒชาญ เอื้อเฟื้อภาพ), อเนก นาวิกมูล และคณะ (2558).
ภาพ: ผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 2-3 ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ภาพ: ผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
5. สะท้อน “พื้นที่” (space) และโอกาสของคนชายขอบในการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า
ระหว่างการสวมบทบาทเป็นนักท่องเที่ยวเนิบช้ามองซ้ายมองขวาไปเรื่อย พบว่า การกลายเป็นเมืองภูเก็ตโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ที่สร้างแรงจูงใจและดึงดูดการเข้ามาของกลุ่มทุน คนที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสามารถช่วงชิงพื้นที่และสร้างความมั่งคั่งผ่านการท่องเที่ยว ตลอดเส้นทางการเดินท่องเที่ยวแบบเนิบช้าจาก ถนนภูเก็ต – ถนนถลาง – ถนนดีบุก - ถนนเยาวราช แทบไม่พบคนไร้บ้าน (homeless) หรือคนชายขอบให้เห็น ผู้เขียนเกิดคำถามในใจ แม้การกลายเป็นเมืองภูเก็ตสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมาก แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ทุกคนจะกินดีอยู่ดี แล้วความเป็นเมืองซ่อนคนจนและคนชายขอบไว้ที่ไหน…?
ผู้เขียนสนทนากับ ซี สุรสิทธิ์ พงษ์เลิศปภากุล เพื่อนร่วมท่องเที่ยวแบบเนิบช้าอีกคนเพื่อที่จะชวนมองและหาคำตอบดังกล่าว ซี เป็นนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) สะท้อนให้เห็นว่า การร่วมท่องเที่ยวแบบเนิบช้าทำให้เห็นเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของภูเก็ตเป็นอย่างดี หากไม่ได้เข้าไปสัมผัสเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์ก็อาจไม่เข้าใจเกี่ยวกับความเป็นภูเก็ตและสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมเรื่องราวที่น่าสนใจและทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักจังหวัดภูเก็ตมากกว่าแวะมาซื้อสินค้า การส่งเสริมการท่องเที่ยวจึงต้องให้น้ำหนักกับการรับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ไปพร้อมกับการส่งเสริมการค้าขายสินค้า
“อยากให้มีการผสมผสานความเป็นภูเก็ต และนำเสนอไปพร้อมกับสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่านภาพลักษณ์สินค้าท้องถิ่น กลิ่นอายวัฒนธรรม กลิ่นอายความเป็นภูเก็ต หรือมีไกด์ท้องถิ่นช่วยนำเสนอไปพร้อมกับการส่งเสริมการจ้างงานคนท้องถิ่น เช่น ผู้สูงอายุที่มีความรู้และประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรือการส่งเสริมสินค้าชุมชน” เป็นการเปิดโอกาสให้คนท้องถิ่น คนตัวเล็กตัวน้อยของเมือง หรือคนชายขอบที่ไม่มีกำลังทางเศรษฐกิจเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการกลายเป็นเมืองและการท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เพราะส่วนหนึ่งสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยรายได้ เศรษฐกิจ และแรงงาน แต่ความท้าทายอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นมี “พื้นที่” และมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นผ่านการกลายเป็นเมืองและการท่องเที่ยว ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของภูเก็ตซึ่งเป็นพื้นที่หมายหมุดของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม “เปิดรับสิ่งใหม่ตามบริบทใหม่ที่ไม่ทิ้งหรือมองข้ามวัฒนธรรมเดิมควบคู่กับการอนุรักษ์ การก้าวให้ทันโลกทันสมัยจำเป็น แต่ก็อยากให้เป็นไปควบคู่กับการอนุรักษ์ของดั้งเดิมไว้ด้วย สอดส่อง ป้องกันพื้นที่ให้คนดั้งเดิม ไม่ปล่อยปละละเลยให้คนนอกเช่าประกอบธุรกิจ จนหลงลืมคนที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำ”
ภาพ: ผัดหมี่บ้านชินประชา อาหารในวัฒนธรรมของชาวจีนที่นำมาปรับประยุกต์เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยา สิรินธร (องค์การมหาชน).
ภาพ: ตึกเก่าย่าน “ภูเก็ตโอลด์ทาวน์” ที่มีหญิงสูงอายุกำลังเดินอย่างเนิบช้า. โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ภาพ: ผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
6. คำถามและข้อสงสัยที่ว่า คนจนอยู่ที่ไหน…? ของการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า
การลงพื้นที่ภาคสนามทำให้ผู้เขียนเห็นเรื่องราวของความเป็นภูเก็ตมากขึ้น ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มการตั้งถิ่นฐานที่มีการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า และประมงพื้นบ้านในแม่น้ำหรือทะเล ผู้เขียนมองว่าการนำเสนอเรื่องราวของภูเก็ต “ยังละเลย” ที่จะกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมอื่น เช่น ชาวเลเผ่าต่าง ๆ หรือคนจนและคนชายขอบตัวเล็กตัวน้อย ทั้งที่เป็นแรงงานหรืออื่น ๆ ที่เข้ามาร่วมอาศัย ร่วมใช้ประโยชน์ และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเมืองและความเป็นภูเก็ต จากการลงพื้นที่ภาคสนามในฐานะนักท่องเที่ยวแบบเนิบช้าย่านภูเก็ตโอลด์ทาวน์ นอกจากผู้เขียนจะเดิน Chill Chill ในเมืองเก่าที่แสนโรแมนติก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ พบว่า เมืองเก่าบริเวณนี้เป็นห้างร้านต่าง ๆ ที่ปรับเปลี่ยน “พื้นที่” รูปแบบ อาคาร บ้านเรือน และผสมผสานกันหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ แต่เป้าหมายสำคัญที่พบ คือ เพื่อตอบสนองต่อการค้าและการท่องเที่ยว ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า กลุ่มคนที่มีโอกาสจากความเปลี่ยนแปลงพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น “บาบ๋า-ย่าหยา” และกลุ่มทุน เป็นการเปิดช่องห่างทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำมิติต่าง ๆ คนรวยมีโอกาสรวยเพิ่มมากขึ้นจากการสะสมทุน และการเข้าถึงทรัพยากร แต่คนจนและคนชายขอบต้องต่อสู้ดิ้นรนในชีวิตประจำวัน ถูกกีดกัน พรากสิทธิจากทรัพยากร อันเป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งที่มักมองไม่ค่อยเห็น นอกจากนั้น “การกลายเป็นเมือง” หรือ urbanization ที่ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ภูเก็ตจากชนบทสู่เมืองสร้างสรรค์ Creative Cities Network ระดับโลก ได้ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคมและประชากรของพื้นที่ภูเก็ตที่เปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวและผู้คนหลากหลาย ดังนั้น ประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การ (อาจ) ถูก “กลืนกลาย” จากการเข้ามาของคนนอก
ภาพ: ระหว่างเยี่ยมชมนิทรรศการเมืองหลากรากวัฒนธรรม ณ มิวเซียมภูเก็ต, โครงการส่งเสริมศักยภาพ
ผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
แม้จะเดิน Chill Chill จนเหงื่อแตก แต่ผู้เขียนก็ยังไม่พบคำตอบของคำถามที่ว่า คนจนภูเก็ตอยู่ที่ไหน…? สักที ผู้เขียนได้ค้นคว้าข้อมูลจากฐาน Thai People Map and Analytics Platform: TPMap หรือฐานข้อมูลภาพรวมคนจนประเทศไทย พ.ศ.2568 พบว่า จังหวัดภูเก็ตมีข้อมูลครัวเรือนยากจน จำนวนทั้งสิ้น 539 ครัวเรือน เป็นประชากรในเขตอำเภอถลาง 342 ครัวเรือน อำเภอกะทู้ 28 ครัวเรือน และอำเภอเมือง 169 ครัวเรือน พบว่า ประชากรอำเภอเมืองส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ 66 ครัวเรือน มาตรฐานความเป็นอยู่ 64 ครัวเรือน ด้านสุขภาพ 32 ครัวเรือน และด้านการศึกษา 14 ครัวเรือน ผู้เขียนอนุมานว่า คนกลุ่มนี้อาจเป็นประชากรที่ตกหล่นจากตะแกรงการพัฒนาและการกลายเป็นเมืองก็เป็นได้ ด้วยข้อจำกัดของเวลาทำให้ผู้เขียนไม่ได้พบปะสนทนากับกลุ่มเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการสวมบทบาทนักท่องเที่ยวแบบเนิบช้าผู้เขียนได้เปิดคำถามกับอาจารย์ธำรงค์ บริเวธนันท์ พบว่า การกลายเป็นเมืองภูเก็ต ผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เปิดพื้นที่ให้กลุ่มทุน พ่อค้า คนที่มีกำลังทางเศรษฐกิจ หรือคนที่มีอำนาจในการต่อรองทางสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งชาวจีนเลือดผสม “บาบ๋า-ย่าหยา” หรือทุนในชาติและทุนต่างชาติช่วงชิงใช้ประโยชน์จากความเป็นภูเก็ต แต่คนจน กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม หรือคนชายขอบส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชุมชนห่างไกลเมือง ชุมชนเล็ก ๆ ชุมชนแออัด สร้างบ้านอยู่หลังตึกสูงที่บดบังไว้ หรืออาศัยอยู่ในซอกหลืบที่ไม่ค่อยถูกมองเห็น
ภาพ: บรรยากาศบริเวณสี่แยกไฟแดงกลางเมืองภูเก็ต. โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม
รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ผู้เขียนยืนสังเกตการณ์บริเวณไฟแดงแห่งหนึ่ง พบว่า การคมนาคมในเมืองภูเก็ตมีความสะดวกสบาย มีทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์วิ่งสวนทางผ่านไปมา ทุก ๆ 3 - 5 นาที จะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งเดินและขับรถผ่าน ในจังหวะนั้นมีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งที่ทั้งคนขับและคนซ้อนท้ายเป็นชายชาวต่างชาติ กำลังช่วยกันขนย้ายตู้เย็นขนาดเล็กไปที่ไหนสักแห่ง พวกเขาอาจจะเป็นชาวต่างชาติที่พักอาศัยระยะยาวในจังหวัดภูเก็ต หรืออาจเป็นลูกผสมไทย - ต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่นักท่องเที่ยวขาจรแน่ ๆ จังหวะไล่เลี่ยกันสังเกตเห็นรถจักรยานยนต์ชาวไทยที่กำลังขับให้บริการเดลิเวอรี่กลางแดดร้อนยามบ่าย ฉากที่เห็นนั้นเป็นภาพสะท้อนการต่อสู้ดิ้นรนของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ขาดโอกาสในการสะสมทุนเมื่อเทียบกับกลุ่มทุน หรือ “บาบ๋า-ย่าหยา” ที่มีกำลังทางสังคมและเศรษฐกิจมากกว่า การท่องเที่ยวแบบเนิบช้า (slow movement) ครั้งนี้ อาจไม่มีรายละเอียดเชิงลึกมากนัก แต่หวังว่าจะช่วยเปิดปริมณฑลความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นเมืองภูเก็ตในสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเช่น คนจน กลุ่มชาติพันธุ์ คนชายขอบที่ไม่ค่อยปรากฏตัวมากนักในเรื่องเล่า “จากป่าสู่เหมือง จากเหมืองสู่เมือง” ของ “ภูเก็ตโอลด์ทาวน์”
ภาพ: แต่เดิมช่องว่างที่เห็นเป็นประตูเชื่อมทางเดินไปถึงกันระหว่างอาคารข้าง ๆ ที่เป็นเพื่อนบ้าน ภายหลังความเปลี่ยนแปลงด้านการท่องเที่ยวและการเติบโตทางเศรษฐกิจส่งผลให้ทางเดินนั้นถูกปิดกั้นไป. โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ภาพ : ผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3 ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม, โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 3. วันที่ 24 -28 กรกฎาคม 2568. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
หมายเหตุ : ขอขอบคุณโครงการส่งเสริมศักยภาพผู้นำทักษะวัฒนธรรม (รุ่นที่ 3), ระหว่างวันที่ 24 - 28 กรกฎาคม2568, โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องการมหาชน), พี่ป้อง: ศุภกรานต์ พุ่มพฤกษ์ (ช่างภาพ), สมุดภาพภูเก็ต Phuket’s Photo Album จาก แนน: นิชาภา อินทะอุด, ทีมงานเจ้าหน้าที่ ศมส. ทุกท่าน, และผู้นำทักษะวัฒนธรรม รุ่นที่ 2-3 ที่ร่วมเดินทางและลงพื้นที่ภาคสนาม.
อ้างอิง
กิตตินันท์ เครือแพทย์ และพิม เดอะ ยง. (2563). โต๊ะพระในบ้านชาวจีนโพ้นทะเล: กรณีศึกษาจังหวัดภูเก็ต. Journal of Social Sciences and Humanities Research in Asia. 26(3): 3-33.
เฉลิมพร วรพันธกิจ และคณะ. (2565). การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแบบเนิบช้าของจังหวัดภูเก็ตเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซีย. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร. 42(1): 75-89.
พิชัย แก้วบุตร. (2567). การศึกษา“ถังเฮ่า”เครื่องบ่งชี้ความสัมพันธ์สกุลแซ่ของชาวจีนโพ้นทะเลในจังหวัดภูเก็ต. วารสารจีนศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 17(2): 120-148.
อาภาภรณ์ วงศ์ลักษณพันธ์ และคณะ. (2562). ครัวจีนภูเก็ต: พื้นที่ทางอัตลักษณ์และภูมิปัญญา. วารสารวิชาการสถาปัตยกรรมศาสตร์. 69: 107-124.
อิสรากรณ์ ผู้กฤตยาคา. (2024). ‘เพอรานากัน’ แปลว่า ‘ฉันเกิดที่นี่’ รากเหง้า วัฒนธรรม และจิตวิญญาณภูเก็จ. เว็บไซต์ https://themomentum.co/feature-pernarakan-culture/. เข้าใช้ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568.
อเนก นาวิกมูล และคณะ. (2558). สมุดภาพภูเก็ต Phuket’s Photo Album. องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตร่วมกับสมาคมเพอรานากัน. อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน): นนทบุรี.
Thai People Map and Analytics Platform: TPMap. เว็บไซต์ https://www.tpmap.in.th. เข้าใช้ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568.
ผู้เขียน
พงษ์เทพ บุญกล้า
กฤตานนท์ ทศกูล
สุรสิทธิ์ พงษ์เลิศปภากุล
ป้ายกำกับ ชิโนโปรตุกีส ภูเก็ตโอลด์ทาวน์ คนจน การท่องเที่ยวแบบเนิบช้า slow movement พงษ์เทพ บุญกล้า กฤตานนท์ ทศกูล สุรสิทธิ์ พงษ์เลิศปภากุล