เรือที่ค่อยค่อยอับปางลงในมหานทีสี่พันดอน

 |  ศิลปะ ผัสสะ และสุนทรียภาพ
ผู้เข้าชม : 1434

เรือที่ค่อยค่อยอับปางลงในมหานทีสี่พันดอน

           เรือลำน้อยถูกผลักไสให้ลอยเคว้งคว้างโดดเดี่ยวอยู่กลางห้วงมหานทีสี่พันดอนอันกว้างใหญ่ คลื่นน้ำและสายลมแห่งการถกเถียงนั้น บางครั้งสงบ บางครั้งก็สาดซัดราวเห็นภาพตัวเองถูกผูกติดไว้กับเรือและค่อย ๆ อับปางลงสู่ใต้น่านน้ำ ทว่าฟากฟ้าพร่างพรายด้วยพระจันทร์ส่องสว่างนำทางออกไปในความมืดแห่งรัตติกาล ทำให้เรือโยกพลิ้วไปตามแสงสว่างนั้นเทียบท่าถึงฝั่งในที่สุด…

           คลื่นน้ำโหมกระหน่ำปั่นป่วนระลอกแล้วระลอกเล่า พร้อมกับสายลมกระโชกแรง

           เหมือนจะเย้ยเย้าและท้าทายชะตากรรมอันโหดร้าย

           ผมก้าวเดินอย่างเนิ่นช้าออกจากรั้ว หันกลับมามองบ้านหลังใหม่เพียงสร้างเสร็จไม่กี่เดือน เป็นน้ำพักน้ำแรง สร้างสรรค์ออกแบบก่อสร้างขึ้นมาเพื่อพ่อและแม่ และอีกไม่นานจะกลายเป็นเรือนหอแห่งความรักของผมด้วย

           สิ่งหนึ่งที่มองเห็นเด่นชัดไม่พ้นสายตานั้นคือแม่ ผู้หญิงที่สูงพอประมาณ สูงน้อยกว่าผมและพ่อ รูปร่างผอมบางแต่ปราดเปรียว วงหน้าคม ตาหวาน และใจดี

           แม่ยืนตัวแข็งทื่อเหี่ยวแห้งเหมือนต้นไม้ที่อยู่กลางแสงแดดจัดจ้านยามโลกเดือด เบือนหน้ากลับไปมองประตูบ้าน เพียงเพื่อช่วยกั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดอันเสียดแทงนั้น

           “แม่ครับ ถ้าผมอยู่บ้านต่อไป ผมต้องได้ฆ่าพ่อตายแน่ ๆ” เสียงสะอื้นผสมความสับสน ร้าวราน โกรธแค้น ไม่รู้ว่าอารมณ์นั้นคืออะไร

           เสียงแผดตะโกนประเดประดังของผม ทำให้เห็นน้ำตาอาบแก้มของแม่ ยิ่งทำให้ผมเจ็บปวด

           ความเงียบงันและดวงตาแห่งความโศกเศร้าเกาะกุมหัวใจของเราทั้งสองอยู่พักหนึ่ง ก่อนผมขับรถออกบ้านไปไกลแสนไกล

           เสียงภายในใจของผม ผสานบทเพลงที่ก้องในหู “ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม”[1] เป็นบทเพลงที่พ่อชอบเล่นกีตาร์และให้ผมร้องให้แม่ฟังอยู่เรื่อย ๆ เสมอมา

           ใช่ครับพ่อ ชีวิตผม “...กว่าจะรวมจิตใจ เก็บทรายสวย ๆ มากองก่อปราสาทสักหลัง ก่อกำแพงประตู ก่อสะพานสร้างเป็นทาง ทำให้เป็นดังฝัน ก่อนที่ฉันจะได้เห็นทุกอย่าง อย่างที่ฝันที่ฉันทุ่มเท น้ำทะเลก็สาดเข้ามา ไม่เหลืออะไรเลย...”1

           มันพังย่อยยับเหมือน​ซาก​ปรัก​หักพัง เพราะพ่อคนเดียว !

           ผมชื่อ “กล้อง” อายุยี่สิบเจ็ดปี ผมได้รูปร่าง หน้าตา สมองและความคิด อันเป็นส่วนประกอบที่ดีงามและลงตัวทั้งหมดมาจากพ่อและแม่

           เรียนจบศึกษาศาสตรบัณฑิตเอกคณิตศาสตร์ ไม่ถึงหนึ่งปีก็สามารถสอบบรรจุรับราชการครูได้แล้ว สอนนักเรียนมัธยมศึกษาในตัวอำเภอซึ่งห่างจากบ้านเพียงสิบกิโลเมตร ตอนนี้ทำงานได้เกือบสามปีแล้ว

           พ่ออายุหกสิบห้าปีเกษียณราชการได้ห้าปีด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำตำบลและตั้งอยู่ในหมู่บ้านของครอบครัวพวกเรา แม่อายุน้อยกว่าพ่อห้าปี แม่เปิดร้านขายของชำและอาหารตามสั่งตั้งแต่ผมจำความได้ ภาพการลวกก๋วยเตี๋ยวของแม่งดงามยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวอร่อยเท่ากับฝีมือแม่อีกแล้ว แม่เพิ่งหยุดกิจการพร้อม ๆ กับพ่อที่ปลดระวางงาน และเป็นอิสระ เมื่อผมได้ทำงานเช่นกัน

           แต่ระยะเวลาหนึ่งปีที่กำลังสร้างบ้านใหม่ แม่มีหน้าที่ใหม่ที่แบกรับในการดูแลผู้ป่วยสูงอายุโรคเรื้อรังระยะยาว นั่นก็คือ “พ่อ”

           ผมยังมีพี่ชายอายุห่างจากผมสี่ปี แต่เขาเสียชีวิตตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในตัวจังหวัด เขาเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก ถูกรถพ่วงชนยับเยินขณะจะไปเรียนพิเศษ พ่อพร่ำเพ้อว่าที่ตาย เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุที่ปล่อยให้ลูกไปเรียนหนังสือเพียงลำพัง คิดถึงคร่ำครวญหาเขาอยู่เสมอ ๆ ทุกวัน จนลืมอีกหนึ่งชีวิตที่เป็นลูกเหมือนกัน ผมก็ต้องการความรักและ
ความห่วงใยจากพ่อเช่นกัน

           ชีวิตครอบครัวของเราดำเนินไปตามปกติ ผมไปทำงานตั้งแต่เช้าและกลับถึงบ้านมืดค่ำ แต่ยังมีโอกาสกอดหอมและส่งแม่กับพ่อเข้านอน พร้อมกับคำพูดอวยพรที่เป็นสิริมงคลให้ผม ผมภาวนาเสมอว่า ขอให้ช่วงเวลาที่มีความสุขเหล่านี้เกิดขึ้นอีกต่อไปนานแสนนาน

           ทุก ๆ วันมีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตเรามากมาย แต่ผมแทบจะจำเรื่องเหล่านั้นไม่ได้เลย จนกระทั่งสัปดาห์ก่อนเทศกาลสงกรานต์ ผู้คนในหมู่บ้านที่ไปใช้ชีวิตต่างถิ่น เริ่มเดินทางกลับบ้าน เพื่อมาเยี่ยมเยียนพ่อแม่และญาติพี่น้อง และสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามของชุมชน

           หมู่บ้านของเราคึกคัก รถรายังวิ่งผ่านไปมาจนกระทั่งเวลาถึงหนึ่งทุ่มสองทุ่ม บ้านผมอยู่ใจกลางของหมู่บ้าน ทำให้สังเกตเห็นได้ชัดเจน ร้านค้าขายของชำที่มีเกือบทุกคุ้มบ้าน ผู้คนต่างมาจับจ่ายซื้อสิ่งของแม้ยามมืดค่ำ

           ค่ำของวันหนึ่งก่อนวันสงกรานต์ ผมเห็นร้านขายของชำยังเปิดอยู่ จึงนึกได้ว่า ต้องไปซื้อกาแฟดำที่หมดแล้ว และจำเป็นต้องซื้อเพราะเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของพวกเราสามคนพ่อแม่ลูก ที่ร้านขายของชำ ผมได้เจอเพื่อนเก่าสมัยเด็ก ที่เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ พวกเราต่างดีใจเพราะหนึ่งปีจึงได้เจอกัน ได้ไถ่ถามทุกข์-สุข และให้กำลังกันและกัน

           เมื่อถึงคำพูดของเพื่อนที่เล่าถึงพ่อของผม ผู้เป็นแบบอย่างความดีงามของลูกศิษย์หลายรุ่นต่อหลายรุ่น ผู้เป็นความภูมิใจ นับหน้าถือตา น่าเคารพนับถือของคนในหมู่บ้านและตำบล

           เสียงที่ออกจากปากเพื่อนผม มันทำให้ใจผมพลุ่งพล่านบ้าคลั่งเหมือนน้ำเหลือเพียงครึ่งขวดที่ถูกเขย่าขึ้นลงไปมา

           “ชาวบ้านพูดถึงพ่อเอ็งว่า ทำไมพ่อครูเปลี่ยนไปเป็นคนลามก ไล่ปล้ำแม่เอ็ง ตอนกลางวันแสก ๆ ยังไม่เว้น ไม่รู้จักอายผู้อายคน”

           เหมือนโลกทั้งโลก เริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบต่อเรื่องราวบัดสีบัดเถลิงวิกลจริตของครอบครัวผม ความดีงามของพ่อที่สั่งสมมายาวนานได้หายหกตกหล่นไม่เหลือแล้ว คำพูดแผ่วเบา มันกลับเป็นเสียงดังกระหึ่มไปทั่วหลังคาเรือนเหมือนเสียงหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน

           “แก่จะหง่อม สภาพทุเรศทุรัง เฒ่าหัวงู เฒ่าราคะ ยังมักมาก มัวเมากามารมณ์ หื่นกระหาย ลามกจกเปรต วิตถาร ตัณหากลับ บ้ากำหนัด”

           เสียงทักทายปราศรัย หัวร่อต่อกระซิก เสียงชักชวนให้ดื่มฉลองต้อนรับปีใหม่ไทย เริ่มดังระงมไปทั่วหมู่บ้าน

           รถแห่ที่เสียงดังและเต็มไปด้วยบทเพลงที่สนุกสนานและกระหึ่มบริเวณนั้น ผมยังคงนิ่งเงียบเฉยเมย ไม่แยแสต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบ ด้วยต้นตอแห่งความโศกเศร้าและเจ็บปวดล้วนแต่อยู่ในใจยากที่จะปลดปล่อยออกมา

           รอคอยวันรุ่งเช้า ผมจะถามความจริงจากแม่

           ผมสะดุ้งตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกของมือถือตอนตีห้า เพราะโรงเรียนถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ในช่วงเช้า ต่อด้วยการทอดผ้าป่าจากศิษย์เก่าในวันสงกรานต์ มองไปประตูห้องนอนพ่อกับแม่ยังเงียบสนิท จึงเก็บคำถามที่บาดลึกและรบกวนจิตใจไว้ก่อน

           แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องอยู่ตลอดเวลา ผมเสร็จธุระจากโรงเรียนแล้ว รีบขับรถยนต์จนกระทั่งถึงหน้าบ้าน เห็นแม่กำลังวิ่งหนีใครสักคนสุดชีวิต ซึ่งคนนั้นคือ พ่อที่วิ่งตามไล่จับแม่ แม่สะดุดกองดินเล็ก ๆ ล้มลง พ่อโถมตัวลงมาร่างแม่ ระดมจูบใบหน้า กลิ้งเกลือกและคว้าไขว่ทุกสิ่งที่จับต้องได้ราวกับไม่รู้จักอิ่ม กระหื่นกระหายระเริงรักแม้กระทั่งเวลากลางวันนั่นหรือ ?

           แววตาหิวกระหาย ท่าทางกักขฬะรุนแรง หุนหันพลันแล่นเหมือนพายุ สิ่งที่เจอเบื้องหน้าไม่ใช่พ่อ ที่ผมเคยรู้จักมาทั้งชีวิต ผมบีบแตรรถดังลั่นสนั่นเสียงและรีบลงจากรถ

           “อย่า ๆ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เสียงแม่กรีดร้องขอความช่วยเหลือ ผมไปแยกแม่ออกจากพ่อ ดึงกันไปมา พ่อกลับผลักผมจนเซ มองหน้าผมเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่ลูก

           “มึงเป็นใคร ออกไป อย่ามายุ่งกับเมียกู !” คำหยาบคายจากปากพ่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน สายตาหึงหวงของพ่อ ที่มองผมราวเป็นชายชู้ที่มาแย่งภรรยาตนเอง

           ผมต่อยเข้าที่กลางท้องของพ่อ และผลักร่างนั้นจนล้มนอนบนพื้นหญ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

           “กล้อง พอแล้วลูก” สีหน้าแม่ตกตะลึงพรึงเพริดชั่วขณะ เสียงร้องปนสะอื้น ปลุกผมให้มีสตินิดหนึ่ง ผมมองไปที่พ่อ สายตาอันห่างเหินเลื่อนลอยคู่นั้น มองผมกลับมาเหมือนเหตุการณ์ที่เลวร้ายนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ความว่างเปล่านั้นมันทิ่มแทงอย่างบ้าคลั่งและกระหน่ำยิ่งกว่าลูกธนูแสงอาทิตย์ที่พุ่งใส่ผม

           แม่พยุงพ่อเข้าไปในบ้าน ผมทรุดตัวนั่งร้องไห้อย่างฟูมฟายตรงนั้น

           เหตุการณ์อันร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นไม่นานนั้น ทำให้ผมอยากแปลงร่างเป็นแมงกะพรุน สัตว์ชนิดที่ไม่มีสมอง ไม่มีหัวใจ ไม่ต้องการรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบข้าง ลอยไปเรื่อย ๆ ไร้ประโยชน์ ว่ายไปตามไปกระแสธารทั่วมหาสมุทร

           แต่ภาพและเสียงในหัวตามมาหลอกหลอนไม่รู้จบสิ้น ภาพการตีตราตอกย้ำของชาวบ้าน ที่มองพ่อเลวทรามต่ำช้ามันเป็นความจริงหรือ? ความดีงามที่พ่อสั่งสมมาทั้งชีวิตมันพังทลายเหมือนปราสาททรายชั่วพริบตา ไม่เพียงพ่อที่พินาศคนเดียว ผีเสื้อกระพือปีกครั้งนี้ ส่งผลมาสู่ชีวิตผมด้วย อับอายผู้คน จะสู้หน้าคนในหมู่บ้านอย่างไร? ผมจะแต่งงานอีกไม่นาน จะพาเจ้าสาวอยู่บ้านหลังนี้ด้วย จะทำอย่างไร ? ผมไม่เข้าใจพ่อเลยที่เป็นอย่างนี้ ?

           สักพักแม่เดินออกมา “กล้อง พ่อไม่สบายนะ ที่ทำแบบนั้น” ผมรู้สึกว่า กำลังพ่ายแพ้อะไรบางอย่าง จนไม่รอฟังคำอธิบายจากแม่ เพราะผมเข้าใจและตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ไร้ความเคลือบแคลง เชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า สิ่งที่ผมเห็นเป็นเรื่องเดียวกันที่ได้ยินจากคนในหมู่บ้าน

           แม่จ้องหน้าผมด้วยความโศกเศร้าน้ำตาไหลอาบใบหน้า ความครุ่นคำนึงและดวงตาแห่งความสับสนปล่อยปละหัวใจของเราทั้งสองอยู่พักหนึ่ง ก่อนผมขับรถออกบ้านอย่างไม่วันกลับคืน

           พระจันทร์ทอแสงเปล่งประกายสว่างจ้าท่ามกลางความมืดมิด

           ฉันชื่อ “นุช” มองเผิน ๆ รูปร่างหน้าตาของฉันไม่แตกต่างจากผู้หญิงไทยเลย แต่จริง ๆ แล้ว ฉันมาจากประเทศลาว มาจากหมู่บ้านในเขตดอนคอน แขวงจำปาสักหรือลาวใต้ถ้าเดินทางจากประเทศไทย ผ่านทางช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี

           หมู่บ้านของฉันเป็นเกาะสวยงาม พระจันทร์ยามค่ำคืนลอยเด่นบนท้องฟ้า ผู้คนมีชีวิตที่เรียบง่าย ต้องนั่งเรือชมแม่น้ำและท้องฟ้าไม่นานก็ถึงฝั่ง แล้วเดินทางด้วยรถสองแถวเล็ก ผ่านหมู่บ้านชุมชนริมแม่น้ำโขง ชมหัวรถจักรโบราณ และ สะพานรถไฟประวัติศาสตร์ ร่องรอยแห่งอาณานิคมฝรั่งเศส ไม่นานก็ถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้น้ำตกหลี่ผี ซึ่งเป็นแก่งกลางแม่น้ำโขง หรือมหานทีสี่พันดอน ห้วงน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล ด้วยความมหัศจรรย์กับคลื่นสายสายน้ำสาดกระเพื่อมผ่านเนินหินโขดหินลงมาด้วยกำลังแรงถาโถมแตกเป็นละอองสีขาวไปทั่วแก่งหิน ดูสวยงามตื่นตายิ่งนัก

           เรื่องเล่าที่มาของชื่อหลี่ผี "หลี่" เป็นเครื่องมือจับปลาของชาวบ้านวางดักไว้กลางลำน้ำ ส่วน "ผี" คือร่างไร้วิญญาณของคนลาวที่ถูกฆ่าตายในยุคฝรั่งเศสครองเมือง เพราะไม่ยอมทำตามคำสั่ง เมื่อตายแล้วจะนำศพโยนทิ้งลงแม่น้ำโขงให้ไหลไปตามกระแส น้ำจนมาติดที่หลี่ดักปลา เป็นเรื่องราวเจ็บปวดและหดหู่มากเมื่อยามนึกถึง

           บางครั้งบางวัน เมื่อฉันมานั่งข้าง ๆ กับหลี่ผี ยามพระจันทร์กำลังโผล่พ้นท้องฟ้า รู้สึกโดดเดี่ยวราวอยู่ท่ามกลางดินแดนชมพูทวีปกับทิวเขาหิมาลัย อดคิดไม่ได้ถ้าคน สัตว์ สิ่งของหรือแม้กระทั่งแววหางนกยูงอันแสนจะเบาบาง เมื่อตกลงไปยังเบื้องล่าง คงไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้ ทุก ๆ สิ่งต้องจมลง

           เมื่อฉันจบปริญญาตรีด้านศึกษาศาสตร์ ได้ทำงานเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยครูปากเซ เงินเดือนครูที่นี่ไม่มากนัก แต่ฉันผ่านการสอบชิงทุนของรัฐบาลมาเรียนปริญญาโทศึกษาศาสตร์เอกสังคมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของภาคอีสานประเทศไทย

           ฉันได้พบกับ “คุณโชค” หนุ่มไทย เพื่อนร่วมชั้นเรียน รับราชการครูและลาศึกษาต่อ ผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง ชอบไว้ผมทรงหวีเสยแสกข้าง บุคลิกเงียบขรึม จริงจัง แต่ลึก ๆ ใจดีชอบช่วยเหลือฉัน ซึ่งเป็นเพื่อนต่างชาติเสมอมา ถ้าไม่ได้คุณช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันคงไม่จบการศึกษาทันตามกำหนดและต้องเสียเงินค่าทุนแน่ ๆ จะเอาเงินมาจากไหน ครอบครัวฉันฐานะไม่ดีเท่าไรนัก แม้กระทั่งการกินอยู่ที่นี่ คุณยังช่วยเหลือหลาย ๆ ครั้ง ตอนปิดเทอมปลายปี พ่อของฉันเสียชีวิตที่หลี่ผี ระหว่างไปหาปลาตอนกลางคืน คุณยังเดินทางมาพร้อมกับฉัน มาช่วยงานศพพ่อ ทั้งแรงกาย แรงใจ แรงเงิน จนแม่และพี่ชายของฉัน เอ็นดูเหมือนเป็นลูกอีกคนหนึ่ง

           วิทยานิพนธ์ของฉันลุล่วงได้ เพราะคุณเพราะช่วยแปลและขัดเกลาภาษาลาวเป็นภาษาไทย ก่อนการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ของฉัน พวกเราสัญญาว่า เราจะแต่งงานกัน

           ฉันกลับมาสอนที่เดิม ไม่ถึงปีจึงแต่งงานกับคุณ โชคดีที่ไม่ได้ปรับตัวมากนัก เพราะพ่อแม่ของคุณเสียชีวิตตั้งแต่คุณยังเด็กเล็ก มีเพียงพี่สาวคนเดียวที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง คุณเทียวมาเทียวไปฝั่งลาวฝั่งไทย จนฉันตั้งท้อง “กล้า” เป็นลูกชายคนแรก และได้มาคลอดที่อำเภอของคุณอยู่และทำงาน เป็นครั้งแรกของกล้าที่ได้ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง วันนั้นระหว่างนั่งเรือหางยาวจะข้ามแก่ง ฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง สายน้ำกับท้องฟ้าผสมกันจนพร่ามัวมองไม่เห็นฝั่ง แล้วจู่ ๆ เรือเกิดดับเครื่อง ใจหล่นหายกลัวความตาย เรือไหลไปเรื่อย ๆ อย่างหวาดหวั่นและยาวนาน จึงเป็นที่มาของชื่อกล้า และกล้าก็แกร่งกล้ากล้าหาญจนเติบโต

           สะพานนั้นข้ามได้แต่เพียงลำน้ำ ลำน้ำต่างหากที่สามารถก้าวข้ามกาลเวลา ผู้คนอย่างเราเล่า พยายามจะข้ามอะไร ? มีคนที่รักลำน้ำโขงเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีใครสามารถข้ามลำน้ำสายเดียวกันสองหนได้ ทั้งสายน้ำ ทั้งคน ต่างเปลี่ยนไป

           กล้า อายุไม่ถึงเดือน พี่ชายทั้งสามคนส่งข่าวว่า แม่ของฉันไม่สบาย บ่นหาลูกสาว ทำให้การวางแผนลางานยาวที่สุด เพื่อดูแลและให้นมกับกล้าล้มไม่เป็นท่า กังวลและสับสนห่วงหาแม่ ห่วงใยกล้าและคุณ แต่เลือกกลับไปหาแม่ ปล่อยกล้าไว้ให้พ่อดูแลที่เมืองไทย

           ตอนข้ามแม่น้ำโขงสีปูน ยังคิดถึงแม่น้ำมูลสีคราม เสียงแคนลอยแล่นกับกลอนเต้ยดังแว่วเข้าไปในใจ ทำให้ฉันระลึกถึงพระคุณของพ่อและแม่ “...ทุกคนอยู่ในโลกา บิดามารดาผู้มีพระคุณเกื้อหนุนนึกถึงหรือยังความหวังของคนเมื่อใต้ไพ ๆ กะอยากมีอยากมั่ง อยากดังตั๋ว คนโลกใต้สมเอิ้นชื่อว่าคนถึงจนกะอยากลืมคนเจ้าพ่อแม่เฮาเพิ่นเลี้ยงเพิ่นลำยามค่ำให้ถือขันดอกไม้ไปไหว้เมื่อเพิ่นยัง ความหวังของกินของใช้ ของกินให้เจ้าย่อยื่นย่าลื่นฟังคำเพิ่นเว้า คุณเจ้าท่านอย่าลืมเป็นเครื่องดื่มเข่าปลาอาหารกินกับทานของคนเมืองฟ้า ทานเงินตราแล้วอุทิศให้เจ้าเพิ่นจากเฮาเหลือเจดีย์ใว้ วันศีลไปทำบุญหยาดน้ำให้บุญตามน้ำชูนำค้ำ เจ้ากรรมนำเวรสิหนีเว้น สิหนีเว้น...” 2

           ฉันพาแม่ไปโรงหมอ อาการสามวันดีสี่วัน ยังไข้ ปวดท้อง อ่อนเพลียอยู่เรื่อย ๆ ไปหาหมอสมุนไพร หมอผี หมอพระ อาการก็ยังไม่ดีขึ้น จนสามีพาแม่ยายมาตรวจและรักษาโรคที่ฝั่งไทย แพทย์บอกว่า แม่เป็นมะเร็งตับ เข้าสู่ระยะท้าย ให้ดูแลประคับประคอง พวกเราจึงพาแม่กลับมาดูแลต่อบ้านแม่

           การดูแลทั้งหมดเป็นหน้าที่ของฉัน เพราะแม่ต้องการให้ฉันเป็นผู้ดูแล ส่วนพี่ชายทั้งสามคนก็มีงานไร่งานสวนต้องทำ ไม่รู้การติดต่อสื่อสารและความคล่องแคล่วในการพาแม่ไปรักษา บอกว่าฉันมีความรู้ ความสามารถ ได้เรียนสูง ๆ จึงต้องมาดูแล รวมถึงการดูแลแม่ที่เป็นผู้หญิงจะสะดวกกว่าลูกที่เป็นผู้ชาย

           ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไร ? กลืนไม่เข้าคายไม่ออก งานที่ฉันรักก็ต้องทำ ครอบครัวก็ต้องดูแล ห่วงใยลูกชายที่แบเบาะและคุณมีที่ต้องอยู่เคียงข้าง สุดท้ายยังยอมจำนนเพราะความรักที่มีต่อแม่ ฉันต้องลาออกจากงานด้วยความรู้สึกแอบน้อยเนื้อต่ำใจบ้างว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ไม่ช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง ทั้งที่แม่ก็เป็นแม่ของทุกคน ชีวิตแม่ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น-ลง พระจันทร์ลง-ขึ้น ฉันอยู่กับแม่ตลอดเวลา โชคดีที่ได้คุณ สามีที่เป็นเหมือนผู้มีพระคุณต่อฉันทั้งแรงกายที่เลี้ยงลูกไว้ให้ แรงใจและแรงเงินในช่วงที่ฉันทุกข์ใจและเงินในการดูแลแม่ของฉัน

           ฉันดูแลแม่ด้วยบุญและบาป บุญคือฉันทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง บาปคือบางครั้งฉันเครียดและแบกรับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในการดูแลแม่ ความคิดถึงลูกชายและสามี ฉันไม่ได้ทำงานที่รัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แม่เขย่าไม้กั้นเตียงตลอดทุกสิบนาที เป็นเพราะปวด ทรมาน หรืออะไร ? แม้ตอนดึกดื่น เสียงกรีดร้องโหยหวนของแม่ไม่หยุดหย่อน ผีร้ายเข้าสิงฉันจนต้องได้ดุด่าแม่ ผสานเสียงดังก้องคุ้งน้ำ แต่สุดท้ายฉันนั่งร้องไห้เป็นตายเป็นวรรคเป็นเวร สำนึกผิดเหมือนคนบ้าคนไม่รับรู้อะไร ฉันเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ยังไม่ถูกซักเอาคราบฝุ่นสกปรกออกปล่อยให้แห้งจับตัวแข็งจนเหมือนก้อนหิน

           แม่ของฉันจบชีวิตจากการเดินทางสายมหากาพย์แห่งความทรมาน หลังจากกล้าได้หกเดือน ช่วงก่อนเวลาแม่สิ้นลมหายใจ สายตาของแม่ เหมือนบอกฉันว่า “แม่รักลูก ลูกทำดีที่สุดแล้ว” ฉันกอดแม่ กุมมือแม่ ท่องบทสวดมนต์พึมพำอย่างมีสติพร้อมกับคำเอ่ยลา แม่ได้ผ่านอุโมงค์แห่งความเจ็บปวดมายาวนาน การเดินทางครั้งนี้ของแม่ต้องได้เจอโลกที่ปราศจากความเจ็บปวด

           หลังจากนั้นมา ฉันมาอยู่ประเทศไทยถาวร พร้อมกับเปิดร้านขายของชำและอาหารตามสั่ง เพื่อได้ทำงาน ไม่เหงา และได้เงินบ้างสมทบกับคุณที่เป็นครูอยู่ในหมู่บ้าน

           “กล้อง” เป็นลูกชายคนที่สอง หลังจากกล้าลูกชายคนแรกอายุเข้าปีที่สี่ ที่มาของชื่อเกิดจากการที่คุณชอบกล้องและชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจในช่วงนั้น กล้องไม่ค่อยแข็งแรงตอนเด็ก ๆ เป็นทั้งโรคหอบหืด และภูมิแพ้ เทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลจนพยาบาลจำได้และคุ้นเคย ดังนั้น หน้าที่ดูแลกล้าและกล้องจะเป็นหน้าที่ของคุณเลย เพราะฉันยังยุ่งวุ่นวายกับการขายของและซื้อสิ่งของเข้าร้านตั้งแต่เช้าจนค่ำ ส่วนกลางคืนคุณต้องคอยดูแล ป้อนยา เช็ดตัว ลูก ๆ เสมอ ไม่เคยบ่นสักคำสักนิดเลย เป็นความภูมิใจของคุณด้วยซ้ำ หลายครั้งฉันอดสงสารไม่ได้ เพราะคุณต้องตื่นเช้าเพื่อไปสอนที่โรงเรียนและเลิกงานเกือบค่ำ

           คุณจำได้ไหม ? ตอนอายุหกขวบ คุณพาฉัน กล้า และกล้อง ไปบ้านสวนที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ปกติกล้องจะมีเสียงพูดแจ้ว ๆ ตลอดเวลา แต่สักพักหนึ่งหายไปเสียงแจ้ว ๆ นั้นหายไป พวกเราร้องเรียกเพราะกลัวกล้องจะตกลงคูน้ำ และก็เป็นจริงตามคาด กล้าเป็นคนเห็นจุกผมของกล้องที่พ้นเหนือน้ำก่อนใคร คุณรีบลงไปเอากล้องขึ้นมา ปฐมพยาบาลจนกล้องไม่เป็นอะไร ฉันได้ว่า
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ที่เห็นคุณร้องไห้อย่างมากมายขนาดนั้น

           ช่วงสิบปีย้อนหลังเกษียณอายุราชการ คุณดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ใคร ๆ เห็นว่า เหมาะสมมาก เพราะคุณจริงจังกับการทำงาน เป็นที่รักนับถือของน้อง ๆ และเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างมาก ชุมชนให้ความยอมรับและมีส่วนร่วมพัฒนาโรงเรียน ครอบครัวอบอุ่นเป็นต้นแบบให้ชุมชน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกและลูกศิษย์ ดังนั้น งานเกษียณอายุราชการที่คุณครูและชุมชนจัดให้คุณเป็นเครื่องพิสูจน์คุณว่า “วันวานที่พากเพียร วัยเกษียณที่ภาคภูมิ”

           หนึ่งปีหลังจากถอดหัวโขนแล้ว ยังมีผู้คนแวะเวียนมาเยี่ยมคุณไม่ขาด แต่คุณยังได้พักผ่อนเต็มที่เพราะไร้งานประจำ ส่วนฉันทิ้งอาชีพแม่ค้าขายของเช่นกัน เพราะเงินบำนาญของคุณและเงินเก็บของฉัน สามารถอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน และกล้องก็จะเรียนจบปริญญาตรีในไม่ช้า

           ก่อนนั้น คุณชอบไปนาไปสวนทุกวัน กลับกลายมาเป็นคนชอบเก็บตัวเงียบอยู่กับบ้าน มีข้ออ้างว่า เบื่อ อ่อนเพลีย ขี้เกียจเดินปวดขา สิ่งที่เคยชื่นชอบ การถ่ายรูป ร้องเพลงเล่นกีตาร์ ไม่เคยแตะต้องเลย ตอนแรกฉันนึกว่า คุณอาจจะเครียดหลังไม่ได้ทำงานที่เคยทำมานาน หรือกำลังปรับตัวและคิดเลยเถิดว่า เป็นโรคซึมเศร้า จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ฉันว่า ต้องพาคุณไปพบแพทย์เสียแล้ว

           ตีสามของวันหนึ่ง คุณใส่ชุดขาวตัดกับความมืดสีดำเดินไปวัด เกือบเจ็ดโมงเช้า ฉันไปตาม เห็นคุณนั่งนิ่ง ถือข้าวเหนียวจ่อริมฝีปากนานมากไม่กลืนสักที สายตาเหม่อลอย เหมือนคนล่องเรือไปเพียงลำพัง ค่อย ๆ หายตัวไกลออกจากฝั่ง ท่ามกลางความมืดมิด คุณจำฉันไม่ได้ แต่ความทรงจำของฉันที่มีต่อคุณกลับหลั่งไหลราวน้ำตาพร่าพรายในสายน้ำ

           แพทย์วินิจฉัยว่า คุณป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดระดับปานกลาง มีความบกพร่องในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจในการใช้ชีวิตประจำวัน อาจมีอาการทางจิต ไม่สามารถอยู่ได้เองตามลำพังต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

           คุณเดินช้าลง ไม่เหมือนเดิม จำญาติและเพื่อนสนิทไม่ได้ นึกคำพูดยาก หยุดกลางประโยค ไม่เข้าใจคำพูดของคนอื่น กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ชอบคุ้ยหาสิ่งของ ด่าทอฉันโดยไม่เคยทำมาก่อน กลัวคนมาทำร้าย หูแว่ว

           ครั้งที่ฉันตกใจและเป็นทุกข์มากที่สุด วันหนึ่งหลังอาบน้ำ คุณชอบหวีผมที่สุด แต่เห็นตนเองในกระจกแล้วจำไม่ได้ “ใครกัน มาอยู่บ้านผมได้อย่างไง?” ทำให้ฉันต้องรีบเอากระจกไปซ่อนไป หวีที่คุณเคยชอบใช้หลังอาบน้ำทุกครั้ง กลายเป็นวัตถุที่ไม่คุ้นเคยของคุณ

           นับแต่นั้นทำให้ฉันรู้ว่าโรคสมองเสื่อมไม่ใช่แค่โรคที่มีอาการหลงลืมเท่านั้น คุณจำเหตุการณ์ได้เฉพาะตอนคุณทำงาน หลังจากนั้น พื้นที่เก็บความจำใหม่เหมือนคุณได้ปิดสวิตช์ลง เหมือนใบไม้แห้ง ๆ ที่หลุดร่วงและปลิวไปตามแรงลม

           ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน คุณอายุย่างเข้าหกสิบห้าปี แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเรียนรู้จากคุณกับความเลอะเลือน คือ อาการหึงหวงฉันที่มีมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ ได้หวนกลับมา แต่ตอนหนุ่ม ๆ การแสดงออกจะมีการยับยั้งดีกว่านี้ เพราะตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน จึงไม่อาละวาด ตอนนี้ความจำไม่เหมือนเดิม จึงใช้วิธีอาละวาดสอดส่องไม่ให้ผู้ชายเข้ามาใกล้ฉัน

           วันไหนที่ร้อนมาก ๆ เมื่อฉันใส่เสื้อแขนกุด เสื้อหมากกระแหล่ง คุณจะเริ่มมากอดรัด ขอมีเพศสัมพันธ์ด้วยแม้ตอนกลางวันแสก ๆ” จนชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมา เห็นคุณวิ่งไล่ตามฉัน หลายครั้งจับตัวฉันได้ กอดรัดฟัดเหวี่ยงจนเป็นภาพอุจาดตาคนทั่วไปที่พบเห็น

           ทุกคืนของคุณ จะเข้านอนเวลาราว ๆ สองทุ่ม ฉันเป็นคนพาขึ้นเตียงด้วยวิธีพิเศษ เพราะคุณขึ้นเตียงเองไม่ได้ หากพาขึ้นเตียงไม่ดี คุณจะนอนใกล้ขอบเตียงเกินไป เสี่ยงต่อการตกเตียง ยามใดที่รู้สึกตัว ฉันจะมองมาที่คุณก่อนเหมือนอัตโนมัติ ต้องไปปลุกและขยับตัวคุณให้นอนห่างขอบเตียง

           ฉันเข้านอนราว ๆ สามทุ่ม บ่อยครั้งคุณจะตื่น ฉันจะเอาผ้าห่มของฉันห่มให้อีกชั้นหนึ่งและกอดมือคุณ และถามว่า เมียกอดมีความสุขไหม ? คุณจะตอบว่า มีความสุข ฉันคิดว่าการทำเช่นนี้เป็นประจำจะทำให้คุณเกิด ความมั่นใจว่า จะได้รับความรักและการดูแลและไม่ถูกทอดทิ้ง สังเกตได้จากการที่คุณพนมมือไหว้ฉันบ่อย ๆ เวลาฉันทำอะไรบางอย่างให้คุณ ต้องดุคุณทุกครั้งว่าอย่ามาไหว้ฉัน ฉันจะอายุสั้น จะตายก่อนคุณได้อย่างไร? ขณะที่สภาพของคุณเป็นอย่างนี้

           ที่ผ่านมาหลาย ๆ ปี คุณคงเครียดเรื่องตำแหน่ง และทุ่มเทเรื่องการงาน กลับบ้านก็ค่ำ ฉันก็ขายของตั้งแต่เช้าจนมืด ตื่นตีสองไปซื้อสิ่งของที่ตลาดเพื่อมาเปิดร้านตอนเช้า ดูแลความเรียบร้อยในงาน และดูแลคุณและลูก เราไม่มีเวลาให้กันเลยนะ

           คุณมาขอความรักจากฉัน ฉันตกใจ ไม่เคยเจอแบบนี้ เราอายุเยอะกันแล้ว แต่เราต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ เพราะชาวบ้านมองคุณไม่ดีเลย เพื่อน ญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ ทั้งหลายมองคุณเปลี่ยนไป ครูผู้เป็นต้นแบบของพวกเขาได้หายไป

           ฉันเป็นผู้ดูแลคุณ ซึ่งไม่แตกต่างจากที่ฉันดูแลแม่ในช่วงระยะท้าย วิธีการใดที่จะทำให้อาการคุณดีขึ้น ฉันเสาะแสวงหามาดูแลรักษาคุณเต็มความสามารถ แต่หลายครั้งที่คุณมองหน้าของฉันเหมือนคนแปลกหน้า ความรู้สึกทั้งหมดถูกกลั่นเข้าไปในอก แผดเผาใจจนแห้งผาก ไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำตาแม้สักหยดเดียว บางครั้งฉันอยากถูกฝังอยู่กับความทรงจำเก่า ๆ กับคุณ อยากตะโกนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปลดปล่อยคุณให้บินโลดแล่นต่อไปได้เสียที

           หนึ่งสัปดาห์ก่อนเหตุการณ์กล้องออกจากบ้าน กับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้น ฉันได้พาคุณไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ แพทย์ให้คำอธิบายและความเป็นไปของโรค เพิ่มยารักษาอาการความจำการรู้คิด และยานอนหลับเพิ่ม จัดทีมสุขภาพมาเยี่ยมบ้านทุกสัปดาห์

           ต้องขอโทษคุณด้วยที่ไม่ได้รีบเร่งอธิบายให้กล้องรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับอาการของคุณในช่วงหลัง ๆ ช่วงที่สติสัมปชัญญะความรู้สึกตัวตนหลุดลอยออกจากตัว เมื่อฉันเล่าเรื่องราวพิลึกพิลั่นนั้น คุณสมเพชเวทนาตนเองจนอยากให้หายตัวไปจากโลก แต่คุณละทิ้งเหตุผลนานัปการของการไม่อยากมีชีวิตอยู่ทิ้งไป เพียงเพราะไม่ต้องการเห็นฉันและลูกเสียใจ

           ฉันเรียนรู้ว่า มีวิธีเบี่ยงเบนความรู้สึกของคุณ ด้วยกิจกรรมและเหตุการณ์หลายอย่าง เช่น เปิดคาราโอเกะ ให้คุณแต่งตัวหล่อ ๆ เพื่อต้องการถ่ายรูป ถ้ามันไม่ได้จริง ๆ ฉันจะปรึกษากับทีมสุขภาพว่า ซื้อตุ๊กตายางให้พ่อเลยดีไหม ?

           กล้องขอไปพักใกล้โรงเรียนที่เขาสอน เขาคงเหนื่อยกับการเดินทางและการทำงาน คุณอยู่กับฉันไปอย่างนี้ จะดูแลคุณอย่างดีที่สุด

           ฉันคิดถึงกล้องมาก ๆ เขาไม่เคยไปจากบ้านเป็นเวลานาน คุณคงคิดถึงเช่นกัน และฉันว่ากล้องต้องคิดถึงพวกเรา

           ถ้าวันไหนกล้องกลับมาบ้านอีกครั้ง ฉันจะบอกว่า คุณรักกล้องมากมายเพียงไหน เพราะกล้องชอบจินตนาการไปเองว่าพ่อไม่เคยรักเขาเลย

           ทั้งคลื่นน้ำและสายลมเบาบางลงแล้ว

           แม่โทรศัพท์มาหาผมทุกวัน ตลอดสองสัปดาห์ที่ผมหายไปจากบ้าน แต่ผมไม่เคยตอบรับแม่เลย ตลอดเวลานั้น ผมกระวนกระวายใจมากที่สุดเพราะคิดถึงบ้าน แต่อีกใจหนึ่งผมไม่อยากรับรู้เรื่องของแม่กับพ่อ

           เช้าวันจันทร์แรกของสัปดาห์ที่สาม แม่ส่งรูปภาพถ่ายฝีมือของพ่อทางไลน์ (Line) ที่มีรูปของพวกเราทุกคน ตั้งแต่พี่กล้า และผม ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก ๆ จนภาพปัจจุบัน เกือบประมาณสิบรูป ที่อยู่รายรอบห้องทำงานของพ่อ แม่ยังถ่ายรูปสมุดบันทึกของพ่อและแม่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานที่บันทึกเรื่องราวเก็บไว้เป็นความทรงจำ ผมยังจำเรื่องราวที่แสนประทับใจมากมาย เช่น เรื่องราวสุดโรแมนติกพ่อขอแต่งงานกับแม่ที่น้ำตกหลี่ผี เหตุการณ์ที่พ่อสอนผมปั่นจักรยาน ฯลฯ ทำให้ใบหน้าของพ่อผุดขึ้นมาในความทรงจำ จากรูปถ่ายขาวดำซีด ๆ ที่ผ่านกาลเวลามานาน เป็นรูปถ่ายที่มีสีสันสวยงาม ราวกับเพิ่งเจอกัน ผมร้องไห้อย่างสำนึกผิด และทันใดนั้น ผมได้ติดต่อกลับหาแม่หลายครั้ง แต่แม่ไม่ได้รับซึ่งอาจเป็นเพราะช่วงระยะเวลาตรวจโรคของพ่อก็ได้

           จนกระทั่งตอนเที่ยงของวันนั้น มีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลติดต่อมาทางโรงเรียนแจ้งว่า แม่ของผมถูกรถสิบล้อแยกโค้งชน ขณะเลี้ยวรถกระบะที่กำลังไปรับพ่อที่โรงพยาบาล

           พระจันทร์มืดสนิทราวโลกหยุดหมุน มืดมิด ไม่มีสิ่งใดไหวติง

           ผมกลับมาอยู่บ้าน กลับมาอยู่กับพ่อ ดูแลพ่ออย่างสุดกำลัง บางวันปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันไป ไม่มีการสนทนาใด ๆ พูดกันคนละเรื่อง แต่สังเกตเห็นรอยยิ้มพรายปรากฏบนใบหน้าของพ่อ ผมเองรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับพ่อ

           ในที่สุดเรือโยกพลิ้วไปตามแสงสว่างนั้นเทียบท่าถึงฝั่ง ทว่าฟากฟ้าพร่างพรายด้วยพระจันทร์ส่องสว่างนำทางถูกกลบด้วยแสงตะวันยามเช้าแห่งรุ่งอรุณราวเห็นภาพตัวเองบนเรือล่องลอยอย่างสงบนิ่งเหนือน่านน้ำ คลื่นน้ำและสายลมแห่งความรักนั้น ทุกครั้งโอบกอด ทุกครั้งเยียวยา เรือลำน้อยไม่เคยถูกผลักไสให้ลอยเคว้งคว้างโดดเดี่ยวอยู่กลางห้วงมหานทีสี่พันดอนอันกว้างใหญ่…


1  เพลงปราสาททราย" ผลงานของสุรสีห์ อิทธิกุล

2  กลอนเต้ยพระคุณแม่ ผลงานของ นายวิจิตร อยู่เย็น และนางจรวย แซ่ตั้ง


ผู้เขียน
อดิเรก เร่งมานะวงษ์


 

ป้ายกำกับ อดิเรก เร่งมานะวงษ์ เรือที่ค่อยค่อยอับปางลงในมหานทีสี่พันดอน เรื่องสั้น

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา