เรา “นินทา” ไปทำไม: เมื่อการนินทาใหญ่กว่าเรื่องของชาวบ้าน
การนินทา (gossip) เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถพบเห็นหรือแม้แต่ตกเป็นเป้าเสียเองได้ในทุกสังคมวัฒนธรรม การแพร่หลายของการนินทาเช่นนี้ทำให้นักมานุษยวิทยาลงความเห็นว่าการนินทาเป็นปรากฏการณ์สากล โดยทั่วไปแล้ว การนินทาถูกนิยามในความหมายเชิงลบของการพูดคุยของบุคคลที่หนึ่งกับบุคคลที่สองในพื้นที่ส่วนตัว โดยคำนึงถึงการไม่ปรากฏตัวของบางคนบางกลุ่มในฐานะบุคคลที่สาม (Besnier 1996) สาระของการนินทามักเป็นเรื่องของการกระทำที่น่าตำหนิติเตียนของคนหลายระดับตั้งแต่คนใกล้ชิดไปจนถึงผู้มีอำนาจ ด้วยเหตุที่การนินทามักเกิดขึ้นในกลุ่มสนทนาเล็ก ๆ กิจกรรมการพูดคุยดังกล่าวจึงมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของชาวบ้าน ในหลายสังคม การนินทาถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่น่าตำหนิและไม่ควรปฏิบัติ กระนั้นเอง การนินทางก็ยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ในทุกสังคมมีส่วนร่วมอย่างอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงได้ตามโอกาส ใครบางคนอาจกล่าวติติงการนินทาในที่แจ้ง แต่เขาอาจเคยนินทาผู้อื่นในที่ลับมาก่อนก็ได้
นิยามโดยทั่วไปของการนินทานำมาซึ่งการพิจารณาความกำกวมในปฏิบัติการที่เกิดขึ้นจริง นิโค เบสเนียร์ (Niko Besnier) (1996; 2009) ตั้งข้อสังเกตว่าความเป็นสาธารณะของการนินทาขึ้นอยู่กับการตีความ เรื่องส่วนตัวที่มักเป็นสาระของการนินทาอาจเกี่ยวโยงกับเรื่องราวที่พ้นไปจากตัวของผู้ที่ถูกนินทา นอกจากนี้ การนินทาที่มักเกิดขึ้นในที่รโหฐานนั้น ในหลายกรณีก็เกิดขึ้นในที่สาธารณะบนพื้นฐานที่ว่าคนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้ว่าบุคคลที่สามซึ่งเป็นเป้าหมายของการนินทาเป็นใคร แต่เรื่องที่พวกเขารับรู้และได้ยินจะบ่งชี้ว่ามีการกระทำบางอย่างเกิดขึ้นโดยใครบางคนในสังคม ในปัจจุบัน พลวัตของการนินทาเคลื่อนจากพื้นที่กายภาพไปสู่พื้นที่ออนไลน์ ความเป็นสาธารณะ การปิดกั้น และการเข้าถึงวงสนทนาได้สร้างคำถามต่อนิยามของการนินทามากยิ่งขึ้น ประเด็นต่อมา การนินทาอาจไม่ใช่การพูดลับหลังที่เป้าหมายไม่อยู่ในอาณาบริเวณของการได้ยินเสมอไป เพราะการพูดคุยระหว่างบุคคลที่หนึ่งกับบุคคลที่สองอาจเปลี่ยนไปเรียกบุคคลที่สามด้วยชื่ออื่น หรือสลับไปใช้คำใบ้ถึงการกระทำบางอย่างของบุคคลที่สามที่เป็นที่รู้กันระหว่างผู้สนทนาด้วยกันเอง โดยเชื่อว่าบุคคลที่สามไม่อาจรู้ตัวหรือทันสังเกตว่าหมายถึงตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น การนินทายังอาจแฝงตัวอยู่ภายใต้เรื่องเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างอย่างตรงไปตรงมา แต่นัยของเนื้อหาเป็นการกระทบกระเทียบถึงบุคคลที่สามโดยเจตนา ความกำกวมเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าหน้าตาของการนินทาเป็นไปได้หลากหลายและขึ้นอยู่กับบริบทเฉพาะของการนินทาครั้งหนึ่ง ๆ
ตรินห์ ที มินห์-ฮา (Trinh T. Minh-ha) (1989) บอกว่ามานุษยวิทยาไม่ต่างไปจากการนินทาผู้คนอย่างเป็นศาสตร์ (scientific gossip) ที่เรียกร้องให้ผู้นินทาหรือก็คือนักมานุษยวิทยาเรียนรู้ บอกเล่าและอ้างถึงคนอื่นที่ตนเองเข้าไปศึกษา อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลของคนที่ตนเองเข้าไปศึกษาถึงระดับวงนินทาอันจะทำให้สามารถทำความเข้าใจและอธิบายในประเด็นเรื่องการนินทากลับมีไม่มากนัก (Besnier 1996; Ingram 2018) การขาดแคลนข้อมูลเช่นนี้สื่อให้เห็นว่าการศึกษาในประเด็นนี้เป็นเรื่องยากทั้งจากปัจจัยเรื่องความคับแคบของวงสนทนา ตลอดจนความยุ่งยากในการทำความเข้าใจเรื่องราว ประเด็นที่ซับซ้อน และการใช้ภาษา รวมไปถึงบรรทัดฐานทางสังคมและการคาดคะเนของคนใน จอห์น ฮาวิแลนด์ (John Haviland) (1977) ชี้ว่า การทำความเข้าใจการนินทาเรียกร้องการทำความเข้าใจรายละเอียดทางวัฒนธรรมที่เป็นบริบทหรืออยู่ในเรื่องราวของการนินทาด้วย
แม้มานุษยวิทยาพยายามศึกษาการนินทามาตั้งแต่ก่อนทศวรรษ 1960 แต่ประเด็นดังกล่าวเริ่มเป็นที่สนใจเมื่อแม็กซ์ กลักแมน (Max Gluckman) (1963) อธิบายว่าการนินทามีหน้าที่ทางสังคมในฐานะที่เป็นกลไกในการรักษาความเกลียวภายในกลุ่มทางสังคม กล่าวคือประการแรก การนินทาเป็นสิ่งที่ช่วยประคับประคองบรรทัดฐานทางสังคม ส่วนหนึ่งเป็นไปด้วยกลไกการสร้างความหวาดกลัวต่อการตกเป็นบุคคลที่สามซึ่งจะถูกผู้อื่นพูดถึงในทางลบ ด้วยเหตุที่เป็นผู้กระทำผิดไปจากบรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคม นอกจากนี้ การนินทาระหว่างบุคลที่หนึ่งและสองยังช่วยหล่อเลี้ยงความรู้สึกที่พวกเขาเป็นสมาชิกของสังคมที่ยึดถือในบรรทัดฐานแบบเดียวกันด้วย อีกประการหนึ่งคือ การนินทาเป็นการเบี่ยงเบนความก้าวร้าวและการประจัญหน้าเพื่อที่จะรักษาความร่วมมือบางอย่างเอาไว้ นอกจากนี้ กลักแมนยังอธิบายว่า ในบางกรณี การนินทายังมีบทบาทในการตรวจสอบ ประเมิน และควบคุมผู้นำหรือผู้มีอำนาจอย่างไม่เป็นทางการด้วย
“การนินทามีคุณค่าในฐานะคุณธรรมทางสังคม แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันยอมรับมันได้
…เมื่อฉันนินทาเพื่อน ๆ เช่นเดียวกับคู่อริ ฉันตระหนักอยู่ลึก ๆ ว่าตนเองตนเองกำลังทำหน้าที่ทางสังคม
แต่เมื่อไหร่ที่ฉันรู้ว่ามีคนนินทาฉันอย่างร้ายกาจ ฉันมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะโกรธเคือง”
(Max Gluckman 1963)
ข้อเสนอของกลักแมนถูกโต้แย้งโดยโรเบิร์ต เพน (Robert Paine) (1967) ที่ชี้ว่าการตีความของกลักแมนมีความย้อนแย้ง นั่นคือการพยายามรักษาความสามัคคีกลมเกลียวไปพร้อมกับยอมให้มีความขัดแย้งแอบซ่อนอยู่ภายในกลุ่มทางสังคม เพนกลับเห็นว่าการนินทาเป็นเครื่องมือของบุคคลในการแสวงหาความมุ่งหมายไปพร้อมกับบ่อนทำลายการกระทำและความต้องการของคนอื่น การนินทาในมุมของเพนจึงเป็นเรื่องของการชิงดีชิงเด่นและการแสวงหาผลประโยชน์ภายในกลุ่มทางสังคม อย่างไรก็ตาม กลักแมน (1968) ตอบโต้ว่าสาระสำคัญของข้อเสนอของเขาคือรูปแบบของความก้าวร้าวทางอ้อม (indirect aggression) ที่การนินทาเป็นกลไกไม่ให้ความก้าวร้าวถูกแสดงออกมาอย่างเปิดเผยและควบคุมไว้ด้วยกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่โยงกับกฎระเบียบ ศีลธรรม และบรรทัดฐานของสังคม
ในแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าการนินทาของกลักแมนมีลักษณะเป็นเครื่องมือเชิงอำนาจในปฏิบัติการทางการเมืองแบบไม่เป็นทางการ (Besnier 2009) การนินทาอาจถูกใช้โดยคนหรือกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมืองเพื่อธำรงไว้ซึ่งโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่เดิม (Brison 1992) แต่ในขณะเดียวกัน การการนินทาก็สามารถถูกใช้ในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการต่อต้านในปฏิบัติการทางการเมืองจุลภาค การนินทาจึงถือเป็นประบอกเสียงและอาวุธทางการเมืองของผู้คนที่ปราศจากอำนาจในชีวิตประจำวัน กล่าวคือในขณะที่กลักแมนให้ความสำคัญกับการนินทาภายในกลุ่มทางสังคมแบบองค์รวม เจมส์ ซี สก็อตต์ (James C. Scott) (1990) สนใจการนินทาที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มทางสังคมของผู้มีและไม่มีอำนาจ นั่นคือการนินทาเป็นรูปแบบของการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจโดยผู้ไร้อำนาจ
โดยสรุปแล้ว กล่าวได้ว่าการนินทาเป็นกลไกทางการเมืองในระดับชีวิตประจำวันของผู้คนในการจัดระเบียบและเบี่ยงเบนการปะทะทางสังคม แม้ผู้ที่ถูกนินทาอาจไม่รับรู้ว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าเนื่องด้วยการกระทำบางอย่างของตน แต่ผู้คนในวงสนทนาหรือคนที่ได้รับรู้ถึงสาระของการพูดคุยจะได้เรียนรู้ทางอ้อมว่าการกระทำของบุคคลนั้น ๆ ไม่ควรเอาอย่าง ภายใต้ความอิหลักอิเหลื่อ (ambivalence) ที่ไม่อาจไม่พึงพอใจแต่ก็ยังทำประโยชน์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ การนินทาไม่อาจมองอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นการซุบซิบเรื่องราวของชาวบ้านที่ไม่สัมพันธ์กับมิติทางสังคมวัฒนธรรม หากแต่ยังเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ผู้คนใช้ระบายความไม่พึงพอใจที่ไม่อาจประจัญหน้า และชี้ให้เห็นว่ามีตัวอย่างที่แย่ของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมที่คนส่วนใหญ่ (ในวงนินทา) ยึดถือบรรทัดฐานบางอย่างร่วมกัน
รายการอ้างอิง
Besnier, N. (1996). Gossip. In Encyclopedia of Cultural Anthropology. New York: Henry Holt and Company.
Besnier, N. (2009). Gossip and Everyday Production of Politics. Hawaii: University of Hawaii Press.
Brison, K. J. (1992). Just Talk: Gossip, Meetings, and Power in a Papua New Guinea Village. California: University of California Press.
Gluckman, M. (1963). Gossip and Scandal. Current Anthropology, 4(3), 307-316.
Gluckman, M. (1968). Psychological, Sociological and Anthropological Explanation of Witchcraft and Gossip: A Clarification. Man: 20-34.
Haviland, J. (1977). Gossip, Reputation, and Knowledge in Zinacantan. Chicago: University of Chicago Press.
Ingram, G. (2018). Gossip. In The International Encyclopedia of Anthropology. New Jersey: John Wiley & Sons.
Minh-ha, Trin T. (1990). Woman, Native, Other. Feminist Review, 36(1), 65-74.
Paine, R. (1967). What is Gossip About? An Alternative Hypothesis. Man: 278-285.
Scott, J. C. (1985). Weapons of the Weak: Everyday Forms of Peasant Resistance. Connecticut: Yale University Press.
ผู้เขียน
วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์
นักวิจัย ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ป้ายกำกับ นินทา วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์