ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์: พิจารณาความทุกข์ในฐานะเหตุการณ์ทางปรัชญา

 |  แนวคิด ทฤษฎีมานุษยวิทยา
ผู้เข้าชม : 1206

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์: พิจารณาความทุกข์ในฐานะเหตุการณ์ทางปรัชญา

ได้เจอเธอ ฉันจึงได้เข้าใจว่า รอยยิ้มและน้ำตา ความรักและร่ำลาคือสิ่งเดียวกัน

ได้เจอเธอ ฉันจึงได้เข้าใจว่า ความรักที่สวยงามและความเหงาทรมาน มันเกิดจากคนเดียวกัน

คนเดียวกัน (You?) – Freehand

           นักอ่านที่สนใจงานฝ่ายซ้ายใหม่ ๆ ในไทยน่าจะคุ้นชื่อของ Alain Badiou และมโนทัศน์เรื่องเหตุการณ์ (event) ของเขา ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ที่ท้าทายโครงสร้างทางสังคม ระบบระเบียบทางการเมืองและเศรษฐกิจ และสถานะเดิม (status quo) ตัวอย่างของสิ่งที่ Badiou นับเป็นเหตุการณ์ก็เช่นการปฏิวัติทางการเมือง การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างสรรค์ศิลปะแขนงใหม่ ที่สำคัญ การตกหลุมรักก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ตามทัศนะนี้ เนื่องจากความรักจัดเรียงพิกัดความเป็นไปได้ในชีวิตของมนุษย์เสียใหม่ ความรักรบกวนสมดุล ทำให้ชีวิตประจำวันของรวนจนเราเสียหลัก1  ข้อจำกัดหรือโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง จึงไม่ได้สลักสำคัญในสายตาคนที่ตกหลุมรักนัก2  (ดูเพิ่ม Badiou, 2012; สรวิศ ชัยนาม, 2562)

           ทว่าในหนังสือ Distillations: Theory, Ethics, Affect (2018) ผู้เขียน Mari Ruti ตั้งคำถามกับเกณฑ์การจัดจำแนกและการนิยามว่า เหตุการณ์ใดนับเป็นเหตุการณ์ในทางปรัชญาของ Badiou ในทัศนะของ Ruti การนิยามของ Badiou ดูจะไม่เสมอต้นเสมอปลายนัก คือ Badiou พูดถูกว่า ความรักนับเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและเปลี่ยนแปลงซับเจคต์ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่นับว่า ความทุกข์ ความทรมาน (suffering) (หรือก็คือการอกหัก หากจะเปรียบน้ำหนักให้เท่ากับความรัก) เป็นเหตุการณ์ด้วย

           นั่นจึงทำให้ Ruti ตั้งคำถามว่า เหตุใดการตกหลุมรักใครสักคนที่เรารู้สึกว่าไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้ (irreplaceable) จึงนับเป็นเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิต แต่การสูญเสียบุคคลสำคัญถึงขนาดนั้นกลับไม่เป็น ทำไมความทุกข์ทรมานจึงไม่อยู่ในระนาบเดียวกันกับความรัก และทำไมต้องด้อยค่าการอกหักขนาดนั้นเล่า

จังหวะตกหลุมรักเป็นอย่างนี้ แล้วจังหวะเลิกรักเป็นอย่างไหน: เหตุการณ์คืออะไร?

สมองต้องการจะลืมเธอไป แต่ใจฉันยังคอยสั่งให้มีเพียงเธอเสมอ

พยายามจะลืมเท่าไหร่ยิ่งพร่ำเพ้อ ไม่เข้าใจ ไม่เคยได้เข้าใจ

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว – เล็ก รัชเมศฐ์

           Ruti สวมบท Badiou แล้วอธิบายว่า สิ่งที่นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์นอกจากทำลายหรือรบกวนระเบียบเดิมแล้ว ยังเรียกร้องความซื่อสัตย์ (fidelity) และการอุทิศ (devotion) ของ ซับเจคต์ด้วย ตัวอย่างเช่นการปฏิวัติทางการเมืองเป็นกระบวนการระยะยาวที่เรียกร้องให้ซับเจคต์ลงมือปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงสร้างทางสังคมเดิมที่ไม่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง การปฏิวัติไม่ได้สิ้นสุดลงหรือเสร็จสมบูรณ์ในค่ำคืนนั้น แล้วรุ่งเช้าโลกจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในทำนองเดียวกัน ความรักก็ไม่ได้จบลงหลังคู่รักแต่งงานเหมือนฉาก happy ending ในหนัง หากแต่ต้องอาศัยการฟูมฟัก หล่อเลี้ยง และประคับประคองหลังจากนั้น อาจเพราะอย่างนี้ Ruti อธิบายว่า ความทุกข์จึงไม่ใช่เหตุการณ์ในทัศนะของ Badiou เนื่องจากไม่มีคนสติดีที่ไหนอยากอุทิศตัวให้กับความทุกข์ มิหนำซ้ำ คนส่วนใหญ่ยังอยากหันหน้าหนีความทุกข์ให้เร็วที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ (Ruti, 2018: 198-199)

           ตรงนี้ Ruti แย้งว่า Badiou อาจลืมไปเรื่องหนึ่ง แม้มนุษย์อยากจะเลี่ยงความทุกข์และลืมเหตุการณ์สะเทือนใจมากเพียงใด แต่ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องที่สลัดออกได้ง่าย อย่างน้อยก็ในระดับจิตไร้สำนึก (unconscious) ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยลงใจ (invest) และเอ็นจอยกับความทุกข์โดยไม่รู้ตัว (ดังท่อนฮุคของเพลงข้างต้น) ยิ่งกว่านั้น ตัวความทุกข์เองก็จัดเรียงพิกัดความเป็นไปได้ในชีวิตเสียใหม่จนในบางกรณีเราแทบไม่อาจใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีกRuti เห็นว่า นี่คือสิ่งที่ Sigmund Freud กับ Friedrich Nietzsche เข้าใจ แต่ Badiou ไม่เข้าใจ (Ruti, 2018: 199)

บ้างบอกให้จำ บ้างบอกให้ลืม: การจัดการความทรงจำที่แสนทรมานในทัศนะนักปรัชญา

อยู่ในคุกที่มองไม่เห็น จะหนีมันไปอย่างไร ยังขังตัวเองเอาไว้ในจินตนาการ

โซ่ที่ตรวนเอาไว้คือภาพที่เธอจูบฉัน กลิ่นหอมของเธอคืนนั้นคือพันธนาการ

คุก – Freehand

           สำหรับ Nietzsche ความสามารถในการลืมความทุกข์ ไม่จมกับอุบัติการณ์หรือความผิดพลาดในอดีต ไม่คิดแค้นต่อคนที่ก่อทุกข์ให้คือสิ่งที่แยกอภิมนุษย์ (Übermensch) จากมนุษย์ทั่วไป กล่าวแบบอุปมาอุปไมย อภิมนุษย์มีพลังในการกลืนกินและย่อยสลายความทุกข์ (digestive power) ในขณะที่ปุถุชนคือพวกอาหารไม่ย่อย (dyspeptic)ไม่อาจก้าวข้ามความทุกข์ แถมยังทำตัวเป็นเหยื่อเรียกร้องความสงสารและความเห็นใจ (Ruti, 2018: 200)

           Ruti วิจารณ์ว่าแนวคิดนี้ของ Nietzsche อาจเป็นอันตราย ตัวอย่างเช่นเมื่อนาซีเอาไปปรับใช้อย่างสุดโต่ง มองว่าชาวอารยันเป็นอภิมนุษย์ ส่วนคนอื่น ๆ โดยเฉพาะยิวเป็นพวกอ่อนแอที่ชอบโอดครวญต่อความทุกข์ จึงน่าสมเพชและไม่ควรค่าต่อการเห็นอกเห็นใจ อีกทั้งการเมิน (looking away) ความทุกข์อย่างที่ Nietzsche บอกก็ไม่ใช่อะไรนอกจากการเก็บกด (repress) และผลักอารมณ์ลบไปอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก ตามที่ Freud อธิบาย3  อาจเพราะแบบนี้ บั้นปลายชีวิตของ Nietzsche จึงเผชิญกับความวิปลาส (Ruti, 2018: 201)

           Freud เห็นว่า ความทรงจำส่งผลต่อตัวตนมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยไข้ทางจิต ซึ่งยังถูกกักขังอยู่ในอดีต และไม่สามารถจัดการกับความจริงตรงหน้าได้ ในหลายกรณี ความทรงจำที่มนุษย์เก็บกดไว้ในระดับจิตไร้สำนึก โดยเฉพาะความทุกข์สะเทือนใจ กลับบงการชีวิตของเราได้อย่างทรงพลังยิ่งกว่าความจำในระดับรู้สำนึกเสียอีก มนุษย์จึงมักทำผิดซ้ำซาก (repetition compulsion) คล้ายลืมไปแล้วว่าเคยพลาดพลั้งจนใจเจ็บมาอย่างไร คล้ายลืมว่าความเจ็บในอดีตยังคงส่งผลต่อใจไม่เคยสร่างซา มนุษย์ตามทัศนะ Freud จึงมีแนวโน้มที่จะตอกย้ำและขยี้หัวใจตัวเองอยู่เรื่อย ราวกับไม่รู้ในสิ่งที่น่าจะรู้อยู่เต็มอก นี่คือเหตุผลที่ Freud บำบัดผู้ป่วยด้วยการพาไปรู้จักผีในจิตไร้สำนึก หรือเตือนให้ระลึกถึงสิ่งที่เขาลืมไปว่าเคยลืม (Ruti, 2018: 201-202)

           Ruti สรุปว่าขณะที่ Freud มองความทรงจำเป็นเครื่องมือปลดปล่อย และ Nietzsche มองความทรงจำเป็นอุปสรรค แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้เห็นแย้งว่า ความทรงจำที่เจ็บปวดส่งผลกับตัวตนของมนุษย์

           ทั้งนี้ Ruti ดูจะเข้าข้าง Freud มากกว่า Nietzsche ขณะที่การบรรยาย (narrativizing) ความอัดอั้นใจตามแนวทางจิตวิเคราะห์แบบ Freud กลายเป็นขนบการรักษาบำบัดจิตมาตรฐาน อย่างน้อยก็สำหรับโลกตะวันตก4  ที่ผู้คนเชื่อว่า การระบายความหนักอึ้งทางใจต่อหน้าธารกำนัลจะปลดปล่อยหรือแบ่งเบาภาระนั้น เช่น รายการทีวี การแถลงข่าว การขอโทษต่อสาธารณชน ตลอดจนพิธีรำลึกไว้อาลัย พิพิธภัณฑ์หรืออนุสรณ์สถานต่าง ๆ ที่มีเพื่อระลึกถึงผู้ตายหรือการสูญเสียก็นับเป็นการถ่ายทอดความทรงจำอันปวดร้าวของคนจากรุ่นสู่รุ่น ท่ามกลางบริบทเช่นนี้ Ruti ชวนคิดว่า การบอกให้คนลืมความทุกข์แบบ Nietzsche ถือเป็นการดูแคลนคนที่ยังลืมไม่ได้เพราะทุกข์นั้นฝังใจไหม? การหันหน้าหนีความทุกข์เท่ากับการขอให้เลิกแล้วต่อกัน เป็นการโทษเหยื่อหรือตอกย้ำวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดที่ผู้ก่อทุกข์แก่คนอื่นไม่ต้องรับผิดชอบหรือไม่? (Ruto, 2018: 203)

           Ruti เตือนว่า ลัทธิเสรีนิยมใหม่ก็พร่ำบอกกับมนุษย์ในทำนองนี้ คือในขณะที่ความรู้สึกดีเชื่อมโยงกับความก้าวหน้า ความสำเร็จ และผลิตภาพ แต่ความรู้สึกไม่ดี เช่น ความโกรธ ความเศร้า ความไม่พอใจในชีวิต กลับเป็นสิ่งที่ถ่วงรั้งความก้าวหน้า พวกที่พร่ำบ่นถึงความทุกข์หรือความไม่เป็นธรรมทางสังคมไม่เพียงไม่ ‘มูฟออน’ แต่ยังฉุดรั้งและเป็นมลพิษต่อคนอื่นด้วย (social irritant) ชีวิตที่ดีวัดกันที่ผลงานและความสำเร็จ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการคิดบวกและการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกด้านลบขัดขวางการบรรลุตัวชี้วัดเหล่านี้ เราจึงต้องก้าวข้าม (to get over it) ความทุกข์ อุปสรรค หรือความขัดแย้งให้เร็วที่สุด มนุษย์ตามอุดมคติของเสรีนิยมใหม่จึงต้องเสียใจบ้างแต่พองาม ไว้อาลัยพอประมาณ แต่อย่านานเกินไป มิฉะนั้นก็อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นคนป่วยทางจิต (Ruti, 2018: 203-206)

           แต่ Ruti ถามว่า การบอกให้คนที่ยังบอบช้ำทางจิตใจลืม ๆ มันไป นับเป็นการข่มขืนซ้ำทางจิตใจไหม?

           สำหรับ Ruti การมองโลกในแง่บวกของพวก ‘life coach’ ที่พร่ำบอกให้คนพลิกวิกฤตเป็นโอกาส หรือย้ำว่าความฝันย่อมไม่มีทางได้มาโดยง่าย หากปราศจากอุปสรรคหรือความพยายาม นั้นมีด้านมืดก็คือ หากคุณไม่สำเร็จ ต้องเป็นเพราะว่ายังพยายามไม่มากพอแน่ ๆ วิธีคิดแบบนี้ละเลยบริบททางสังคมและโครงสร้างที่กีดกันไม่ให้คนจำนวนไม่น้อยประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม (Ruti, 2018: 206)

           อย่างไรก็ดี Ruti ยังพยายามแก้ต่างให้ Nietzsche และชี้ว่า ศิลปะการใช้ชีวิตกับความทุกข์ของ Nietzsche ไม่เหมือนมนุษย์แบบเสรีนิยมใหม่ที่ได้รับคำสั่งให้เอ็นจอยจากการบริโภคสินค้าและบริการต่าง ๆ หากแต่หมายถึงการสร้างขอบเขต และการเว้นระยะห่างจากสิ่งล่อลวงใจ เพื่อให้ความคิดสร้างสรรค์งอกเงยขึ้น (อย่างที่นักวิชาการหรือศิลปินมักทำเมื่อปั่นงาน) คุณูปการของ Nietzsche คือการบอกให้มนุษย์ลืมความทรงจำที่ไม่จำเป็น เมินสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญต่อเราจริง ๆ หากความทรงจำที่ล้นเกินเหนี่ยวรั้งเราไว้ Nietzsche ก็บอกว่าอย่าเอามันมานิยามตัวตนของเรา และอย่ากลายเป็นเหยื่อที่เจ็บปวดรวดร้าวจนไม่อาจทำอะไรได้อีก (Ruti, 2018: 207-211)

           นั่นหมายความว่า หาก Freud บอกว่า การจำคือหนทางสู่การลืม Nietzsche ก็บอกให้เราเว้นระยะห่างกับความทรงจำที่สะเทือนใจ ทั้งการลืมและการเมินจึงสำคัญเพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อได้ แต่เป็นอีกครั้งที่ Ruti ชี้ว่า Freud ดูจะเข้าใจความทุกข์ได้ดีกว่า Nietzsche เนื่องจากการตัดใจลืมความทรงจำที่เจ็บปวดอย่างสาหัสไม่มีทางเป็นไปได้ อย่างน้อยก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในระดับจิตไร้สำนึก

           แต่ก็ใช่ว่า Ruti จะเออออกับ Freud เสียหมด หลายครั้งที่การบำบัดความบอบช้ำทางใจผ่านการเล่าเรื่องเอง กลับสร้างความเจ็บปวดซ้ำ ๆ ให้ซับเจคต์ และยังชวนตั้งคำถามต่อว่า มนุษย์ทุกคนมีบาดแผลทางใจเหมือนกันหมดไหม? แผลนี้มันเจ็บกันอย่างเสมอหน้าโดยไม่จำกัดเพศสภาพ เชื้อชาติ หรือชนชั้นไหม? หรือใครบ้างที่มีเวลาว่างหรือทรัพยากรมากพอจะเอ้อระเหยกับความทุกข์? Ruti ไม่ได้แย้งว่า ทุนนิยมขูดรีดความปรารถนาของมนุษย์ เหลือทิ้งไว้เพียงชีวิตที่เปราะบาง แต่ไม่เชื่อเสียทีเดียวถ้าจะบอกว่า เราทุกคนทุกข์ทรมานเท่าเทียมกัน ถึงอย่างไร พวกมีอภิสิทธิก็มีทางเลือกบางระดับเมื่อเผชิญกับวิกฤต ซึ่งคนระดับล่าง ๆ ไม่โชคดีเช่นนั้น เมื่อเราศึกษาความทุกข์จึงไม่ควรเชิดชูและยกย่อง หากต้องทำให้เห็นมิติที่สลับซับซ้อนของความทุกข์ (Ruti, 2018: 216-221)

ดั่งแผลเป็นที่ช่วยเตือน… : ความทุกข์ในฐานะเหตุการณ์

ให้มันยังคงสวยงามอยู่เช่นเดิม แม้มันจะเหลือแค่เพียงร่องรอยจาง ๆ

รอยจูบเธอยังประทับลงในหัวใจ ให้ฉันยังได้ชิมรสหวานที่ทรมาน

รสหวาน – Freehand

           Ruti อธิบายยืดยาวเพื่อเสนอว่า ความทุกข์ส่งผลต่อซับเจคต์อย่างลึกซึ้ง และนักปรัชญาก็ใช้เวลาถกเถียงเรื่องความทุกข์ไม่มากก็น้อย ถึงแม้มนุษย์พยายามจะหนีห่าง ลบล้าง หรือชำระความทรงจำและประสบการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดมาตลอดหน้าประวัติศาสตร์ และแม้การลืมความเจ็บปวดถือเป็นอุดมคติของซับเจคต์ แต่ Ruti พยายามแสดงให้เห็นว่า นี่คือภารกิจที่ยากจะบรรลุ แทบเป็นไปไม่ได้ที่ซับเจคต์จะลืม แทนที่ ข้ามพ้น หรือแสร้งทำราวกับว่าความเจ็บปวดที่แสนสาหัส ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

           เรื่องสะเทือนใจมักทำให้ซับเจคต์ปั่นป่วน รวน และเสียหลัก รวมทั้งระแวดระวังและหวาดระแวงจนยากจะลงใจกับแพสชั่นใหม่ ๆ ในชีวิต แน่ละว่าประกายไฟจุดใหม่ได้เสมอ แต่ก็ต้องอาศัยพลังใจมหาศาล เพราะอย่างนี้ Rutiจึงย้ำข้อเสนอว่า ความทุกข์นับเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตคน และเปลี่ยนซับเจคต์ให้กลายเป็นซับเจคต์ใหม่ได้ไม่ต่างจากความรัก ไม่มีใครรอดพ้นจากความบอบช้ำเฉียบพลันแบบไร้รอยขีดข่วน (หากไม่ใช่แผลฉกรรจ์ที่ทิ้งร่องรอยร้าวลึก) (Ruti, 2018: 223)

           Ruti เล่าว่าทุกครั้งที่สอนแนวคิดของ Badiou ในคลาสเรียน มักมีนักศึกษาถามว่า เหตุการณ์เป็นสิ่งที่เราวางแผนล่วงหน้าได้หรือไม่?

           แน่นอนละว่า Badiou ย้ำเสมอว่า เหตุการณ์ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะคาดเดาหรือทำนายล่วงหน้าได้ เราไม่อาจวางแผนได้ว่าวันนี้ออกจากบ้านไปแล้วฉันจะต้องตกหลุมรัก แต่ก็เป็นไปได้ที่จะเพาะบ่มหรือขัดเกลาชีวิตเพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ การปฏิวัติทางการเมือง การค้นพบทางวิทยาศาสตร์หรือความรักคงไม่เกิดขึ้น หากเรานอนอยู่เฉย ๆ บนโซฟาในบ้าน กล่าวได้ว่าในบางระดับ เราตระเตรียมเงื่อนไขเบื้องต้นของเหตุการณ์ได้ แต่ไม่มีอะไรการันตีความสำเร็จ (Badiou, 2012; Ruti, 2018: 225-227, สรวิศ ชัยนาม, 2562)

           คนส่วนใหญ่ รวมถึงนักศึกษาของ Ruti ปรารถนาเผชิญหน้าและเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ เพราะเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะยุติความทุกข์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติทางการเมือง การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ หรือการคิดค้นนวัตกรรม ที่สำคัญ คนส่วนใหญ่ต่างก็อยากตกหลุมรัก และรักษาความรักนั้นเอาไว้ แต่ Ruti เตือนว่า โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่ความทุกข์ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด คือเหตุการณ์ที่เราส่วนใหญ่ประสบพบเจอได้ง่ายและบ่อยกว่าเหตุการณ์อื่นมาก และเนื่องจากความทุกข์คือเหตุการณ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้ชีวิตแบบเดิมอย่างที่เคย บางสิ่งบางอย่างเอากลับมาไม่ได้ และบางคนก็ไม่มีทางกลับมา

           ในแง่นี้ เมื่อเราคิดจะตกหลุมรัก ก็ต้องรับมือกับความเจ็บปวดที่เกิดจากการตกหลุมไปแล้วไม่มีความรัก หรือการมีความรัก แต่ก็ต้องสูญเสียความรักไป หรือหากคิดจะลิ้มรสรักก็ต้องพร้อมเผชิญ “รสหวานที่ทรมาน” ด้วย และดังนั้น หากความรักนับเป็นเหตุการณ์ การสูญเสียความรักก็เป็นเหตุการณ์ไม่แพ้กัน


เอกสารอ้างอิง

Badiou, Alain. (2012). In Praise of Love. New York: New Press.

Foucault, Michel. (1978). The History of Sexuality, Vol. 1. New York: Pantheon Books.

Ruti, Mari. (2018). Distillations: Theory, Ethics, Affect. Bloomsbury Publishing.

สรวิศ ชัยนาม. (2562). ทำไมต้องตกหลุมรัก: Alain Badiou ความรัก และ The Lobster. กรุงเทพฯ: Illumination Editions.

อุมแบร์โต เอโค. (2561). บันทึกในกลักไม้ขีด: รวมบทความสารพันเรื่องในสังคมไหล. อ่านอิตาลี.


1  ลองฟังเพลงดังใน TikTok อย่าง จังหวะตกหลุมรัก ของ DIDIxDADA นอกจากท่อนฮุคแล้วยังมีท่อนแรกที่ร้องว่า “คือเธอใช่ไหม ทำฉันไม่เหมือนเดิม จากใจของฉันที่เข้มแข็ง กลายเป็นอ่อนไหว แค่เพียงได้เห็น แทบไปไม่เป็น ทำใจของฉันให้สับสนและหวั่นไหว”

2  แม้กระทั่งข้อจำกัดทางชีวภาพหรือความจำเป็นทางร่างกายก็อาจไม่สำคัญต่อคนที่ ‘คลั่งรัก’ เช่น ไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน ดังที่ ‘น้าหมู’ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ร้องไว้ในเพลง น้ำตาหอยทาก ว่า “เธอบอกว่ารักนั้นกินไม่ได้ เธอไม่เข้าใจ ยามรักไม่กินก็อิ่ม” ทว่าผู้เขียนมีข้อสังเกตว่า เมื่อรักจางลง การกินไม่อิ่มกลับกลายเป็นปัญหาเช่นเพลง รักกินไม่ได้ ของสงกรานต์ รังสรรค์ ดังจะอธิบายต่อไป

3  Umberto Eco เห็นพ้องกับ Freud ว่า มนุษย์ทุกคนมีความบ้าอยู่ปริมาณหนึ่ง หลายคนซ่อนมันไว้เงียบ ๆ ตลอดชีวิต แต่อีกหลายคนระเบิดออกมาเป็นพัก ๆ (ดูเพิ่ม เอโค, 2561)

4  Michel Foucault เรียกชาวตะวักตกว่า สัตว์สารภาพ (confessing animal) ที่หมกมุ่นกับการเล่าเรื่อง บรรยาย หรือระบายความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ สภาพจิตใจ หรือตัวตนข้างในออกมาในรูปแบบคำพูดหรือตัวอักษรราวกับสารภาพบาป (ดูเพิ่ม Foucault, 1978)


ผู้เขียน
ปิยนันท์ จินา
นักวิจัย. ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ ความรัก ความทุกข์ เหตุการณ์ทางปรัชญา ปิยนันท์ จินา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา