ญาติใช้แล้วทิ้ง: ความสัมพันธ์ชั่วคราวในเครือญาติศึกษา
การจัดการความสัมพันธ์ทางสังคมในระบบเครือญาติมนุษย์ (kinship) เกิดขึ้นหลายมิติ ระบบเครือญาติมนุษย์มักจะสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความเป็นครอบครัว ซึ่งวางอยู่บนประสบการณ์ ความรู้สึก และพันธะบางประการต่อผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ในแง่นี้ ความเป็นเครือญาติโดยตัวมันเองจึงมีขอบเขตการนิยามที่ค่อนข้างกว้างครอบคลุมหลายส่วน โดยสามารถแบ่งใน 2 ลักษณะ ได้แก่ เครือญาติในฐานะการกระทำ (kinship-as-doing) และเครือญาติในฐานะที่เป็นอยู่ (kinship-as-being) (McKinnon, 2017)
หากขยายการศึกษาเครือญาติในฐานะการกระทำและเครือญาติแบบที่เป็นอยู่แล้ว เครือญาติในระบบครอบครัวหรือคนที่มีสายเลือดร่วม (blood ties) เป็นรูปแบบหลักของการนับความเป็นเครือญาติของมนุษย์ที่ถูกรับรองโดยกฎหมาย สิทธิ และระเบียบสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม เครือญาติแนวนี้ถูกทำให้เป็นธรรมชาติ (naturalized) และทำให้มีแก่นสาร (essentialized) โดยตัวของมันเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกกำกับด้วยกระบวนการทางวัฒนธรรม (cultural process) อีกชั้นหนึ่ง (McKinnon, 2017) ทำให้เครือญาติสองรูปแบบนั่นคือเครือญาติในฐานะการกระทำ และเครือญาติในฐานะที่เป็นอยู่ไม่ได้แยกขาดจากกันเสมอไป เครือญาติที่เป็นอยู่ (being) ก็อยู่ในชั้นของความสัมพันธ์ (relatedness) ที่ซึ่งมีกระบวนการทางวัฒนธรรมในการทำ (doing) หรือการกำหนดความเป็นเครือญาติมนุษย์ให้กลายเป็นสิ่งที่เชื่อว่ามีแก่นแกนด้วย
ข้อสังเกตการจัดแบ่งคุณลักษณะของเครือญาติมีความน่าสนใจในแง่ของการแยกให้เห็นส่วนของความเป็นสารัตถะในการนิยามความหมายที่เกิดขึ้นผ่านการประกอบสร้าง ทำให้ความหมายของเครือญาติขึ้นอยู่กับวิธีการกำหนดคุณลักษณะที่สัมพันธ์กับปัจจัยและตัวแสดงในรูปแบบเชิงสัมพัทธ์ (forms of relatedness) (Carsten, 2000) เมื่อการกำหนดความเป็นเครือญาติก่อร่างสร้างขึ้นมาได้ ความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นหรือจางหายไปก็มีส่วนในการทำให้ความเป็นเครือญาติถูกตัดขาดกันได้ด้วย (de-kinned)
---------------------------------------------------
ย้อนดูการจัดวางความเป็นเครือญาติของผู้คน ความพยายามสำคัญในแวดวงวิชาการสังคมศาสตร์การศึกษาเครือญาติ (kinship studies) คือการก้าวพ้นการนิยามเครือญาติผ่านสายสัมพันธ์ทางชีวภาพ เช่นการสืบพันธุ์ของระบบลำดับวงศ์ตระกูลอันเป็นฐานความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบฝักฝ่าย David Schneider เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ตั้งคำถามถึงประเด็นดังกล่าวมองว่าการศึกษาเครือญาติควรสร้างความคิดเกี่ยวกับเครือญาติในเชิงการกระทำควบคู่กับการมองเครือญาติแบบสายเลือดร่วม (Schneider, 1980) โดยมุมมองนี้มาจากฐานคิดความเข้าใจเครือญาติในยุคก่อนหน้าที่มองเครือญาติในฐานะเครื่องมือการจัดการความสัมพันธ์ทางสังคมประเภทหนึ่ง เครือญาติถือเป็นโครงสร้างอำนาจหลักที่มีความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความเชื่อพิธีกรรมมายาวนานนับตั้งแต่สังคมดั้งเดิมจวบจนเข้าสู่สังคมทุนนิยม (กนกวรรณ สมศิริวรางกูล, 2562) บ่อเกิดของความสัมพันธ์เครือญาติโดยเฉพาะการแต่งงานและครอบครัว (kinship as family) เป็นฐานความสัมพันธ์ทางสังคมหน่วยย่อยที่สำคัญซึ่งได้ถูกนักคิดสายโครงสร้างนิยมอธิบายอย่างน่าสนใจว่าหลักการการพัฒนาสังคมเครือญาติมนุษย์ การแต่งงานร่วมสายเลือดวางอยู่บนการทำให้เป็นกลุ่มก้อนเพื่อต่อต้านกับความเป็นปัจเจก ในแง่หนึ่งมันอาจเป็นวัฒนธรรมแรกของมนุษย์ที่ถูกทำให้อยู่เหนือความเป็นธรรมชาติของสายพันธุ์ ลักษณะการปกครองหรือการอยู่เหนือธรรมชาติเช่นนี้ นำไปสู่การสร้างกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะการสมรสนอกกลุ่ม (exogamy) อันเป็นรูปแบบพื้นฐานของเครือญาติที่สร้างความซับซ้อนของสังคมมนุษย์ลำดับต่อมา (Strauss, 1969) เข้าสู่ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 การศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมจึงหันมาทำความเข้าใจอัตลักษณ์อันหลากหลายของปัจเจกต่อความเป็นกลุ่มก้อน ประเด็นทางชนชั้น เชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์ของปัจเจกสัมพันธ์กับการเลือกคู่ครองความเป็นเครือญาติ และดำเนินไปท่ามกลางความเป็นเครือญาติในบริบทสังคมใหม่ ๆ (ดู กนกวรรณ, 2562) พัฒนาการทางแนวคิดดำเนินมากระทั่งถึงยุคข้อเสนอของ David Schneider และ Susan McKinnon ที่มีความพยายามนิยามความเป็นเครือญาติในรูปแบบการกระทำ (doing) มากขึ้น
---------------------------------------------------
การปรับใช้เครือญาติแบบการกระทำเอื้อให้สามารถประยุกต์ใช้มองความสัมพันธ์ทางสังคมได้ในระนาบอื่น นอกจากมิติการประกอบสร้างความเป็นเครือญาติภายใต้เงื่อนไขในสองลักษณะอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น รูปแบบเครือญาติผ่านการกระทำยังชี้สู่ความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่ขาดสะบั้นได้ด้วย (de-kinned) โดยเฉพาะในบริบททุนนิยมโลกหรือเศรษฐกิจระดับโลก เครือญาติกลายเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมเชิงผลประโยชน์ เครือญาติถูกสร้างขึ้นได้ ในขณะเดียวกันเมื่อหมดประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เครือญาติถูกตัดทอนหรือกลายเป็นสิ่งที่ใช้แล้วทิ้งได้ด้วย (disposable)
Megha Amrith และ Cati Coe (2021) ชี้ประเด็นนี้โดยทำการศึกษาความปรารถนาของผู้คนที่นำมาสู่การเป็นแรงงานพลัดถิ่นข้ามชาติ ที่เข้ามาทำงานในกลไกระบบการเป็นพลเมืองชั่วคราวของรัฐ และตลาดงานดูแล (care) ผู้สูงอายุในสหรัฐอเมริกา พื้นเพการทำงานของแรงงานเหล่านี้เป็นสัญญาการจ้างงานเพื่อทำงานดูแลผู้ป่วยในบ้านทั้งระยะสั้นและระยะยาว มันจึงหลีกเลี่ยงการผูกสัมพันธ์ทางความรู้สึกระหว่างผู้จ้างและลูกจ้างได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อลูกจ้างแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ดูแล และเข้าใจความต้องการ ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกของนายจ้างผู้สูงอายุ
ลูกจ้างคนแอฟริกันที่ย้ายมาทำงานดูแลในสหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่าผู้ป่วยหลายคนเลือกซื้อบริการการดูแลผ่านหน่วยงานเจ้าหน้าที่ในแบบระยะยาว เพื่อนเธอบางคนทำงานเป็นแม่บ้านในบ้านผู้ป่วยนานถึงแปดปี และผู้ป่วยเป็นกลุ่มชนชั้นกลางผู้ร่ำรวยที่สามารถจ่ายเงินค่าบริการได้ในบั้นปลายชีวิตของพวกเขา ส่วนเธอที่ทำงานดูแลผู้ป่วยในเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) ราวสี่ปีจวบจนผู้ป่วยของเธอเสีย เธอมักจะไปเยี่ยมเขาที่หลุมศพทุกครั้งในวันหยุด เธอเล่าว่า 'ผู้ป่วยคนนี้เหมือนแม่ของเธอ แม่ที่เธอไม่เคยมีมาก่อน' (ดู Amrith and Coe, 2021)
ถึงตอนที่ความสัมพันธ์แขวนอยู่บนพันธสัญญาการจ้างงานจบลง นิยามของความสัมพันธ์เชิงการประพฤติปฏิบัติตนต่อกันจะย้อนกลับไปสู่การเป็นเครือญาติตามตัวบทกฎหมาย เพราะชั้นของกฎหมายครอบงำและกินความถึงเครือญาติร่วมสายเลือด มรดก คู่สมรส และบุตรตามกฎหมาย เป็นต้น (McKinnon and Cannell, 2013) เครือญาตินอกกฎหมายต้องเจอปัญหาความยุ่งยากในความสัมพันธ์ต่อกันพอสมควร ดังที่ลูกจ้างหญิงคนหนึ่งเล่าว่าก่อนที่ผู้ป่วยของเธอจะเสียชีวิตเธอไม่มีโอกาสได้ดูใจเขาครั้งสุดท้ายเพราะเธอเป็นคนผิวสี ภายหลังที่ผู้ป่วยเธอเสียชีวิตความสัมพันธ์ระหว่างเธอและครอบครัวผู้ป่วยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สัญญางานของเธอก็ถูกเลิกจ้างโดยนายหน้า ราวกลับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าที่เมื่อไม่ต้องการแล้วก็ถูกทิ้ง (dropped) ซึ่งมันดูถูกและไม่ให้ความเคารพในความสัมพันธ์ที่เธอมีต่อผู้ป่วย (ibid.)
ความสัมพันธ์ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นภายใต้งานดูแลผู้ป่วยเห็นได้ว่ากลายเป็นความรู้สึกเกินเลยตำแหน่งในสัญญาการจ้างงาน เมื่ออยู่ด้วยกันไปสักระยะลูกจ้างและนายจ้างจะรู้สึกถึงความเป็นเครือญาติต่อกัน แต่ถึงอย่างนั้นตามตัวบทกฎหมายแล้วการมีลูกจ้างในบ้านไม่ได้ให้สิทธิการยอมรับความผูกผันทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้เครือญาติที่เกิดขึ้นอย่างหลวม ๆ เป็นความพึงพอใจในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจนอกกฎหมายต่อกัน เช่น นายจ้างให้ค่าตอบแทนเพิ่มเติม ให้ของขวัญ และสนับสนุนเงินทุนบางก้อนแก่ลูกจ้างที่ดูแลเขาตอนแก่
แต่เมื่อไม่ได้รับรองสิทธิความเป็นเครือญาติผ่านกฎหมายทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงจากการปฏิสัมพันธ์ต่อกันระหว่างคนสองฝ่าย ผนวกกับความไม่เท่าเทียมของสถานะทางสังคมของลูกจ้างและนายจ้างก็ก่อให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดสัญญา ความเป็นเครือญาติที่เกิดขึ้นผ่านกระทำก็สิ้นสุดลงด้วย การใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์เชิงเครือญาติแล้วตัดขาดความสัมพันธ์เมื่อหมดความจำเป็นนอกจากจะกลายเป็นความสัมพันธ์ทางความรู้สึกที่เกินนิยามของเครือญาติแบบทางการ (office kin) อันเป็นลักษณะการสานสัมพันธ์เครือญาติทางใหม่นอกพื้นที่กฎหมายแล้ว ยังเป็นผลให้พวกเขาต้องเผชิญการโครงสร้างอำนาจรัฐที่มีอิทธิพลเหนือความเป็นเครือญาตินอกกฎหมายอีกลำดับชั้น ซึ่งเป็นความตึงเครียดที่ดำรงอยู่ระหว่างเครือญาติสองรูปแบบระหว่างเธอในฐานะลูกจ้างและผู้ป่วยหรือนายจ้าง ซึ่งเป็นคนนอกสายเลือดของกัน
---------------------------------------------------
นัยสำคัญของความสัมพันธ์เครือญาติที่ก่อตัวขึ้นในบริบทนี้เกิดขึ้นจากความปรารถนาที่แตกต่างกันของบุคคลทั้งสองฝ่ายระหว่างความมั่นคงในสิทธิรายได้ของการเป็นลูกจ้าง และการรับประกันการดูแลเอาใจใส่จากนายจ้างหรือผู้ป่วย นักวิชาการต่างเห็นร่วมกันว่าในระบบเศรษฐกิจโลก เครือญาติทุกรูปแบบเป็นสิ่งจำเป็นต่องานดูแล (care) ในระบบทุนข้ามชาติ นายจ้าง เอเจนซี่และรัฐบาลต่างได้ประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติ และปล่อยให้ปฏิบัติการทางความรู้สึกของครอบครัวลูกค้าและลูกจ้าง สร้างความสัมพันธ์การเป็นเครือญาติกันอย่างหลวม ๆ เพื่อรักษาการทำงานในระบบสัญญาจ้างต่อ อีกทั้งหลีกเลี่ยงการใช้สัญญาจ้างที่มีผลต่อมรดกการจัดการรายได้จากเครือญาติทางสายเลือด ฉะนั้นเมื่อสิ้นสุดสัญญางานด้วยเงื่อนไขใดก็ตาม คนงานในบ้านก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เอเจนซี่และหน่วยงานภาครัฐก็จัดสรรงานใหม่เพื่อหมุนเวียนแรงงานต่อ ญาติร่วมสายเลือดผู้ป่วยก็ไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบใด ๆ ต่อด้วย เครือญาติในทางปฏิบัติที่เคยเป็นเสาหลักความสัมพันธ์หมดความสำคัญลง ลูกจ้างถูกตัดญาติหรือกลายเป็นญาติที่ใช้งานแล้วทิ้ง (disposable)
รายการอ้างอิง
กนกวรรณ สมศิริวรางกูล. (2562). เครือญาติศึกษา เญือะเลอเวือะและกระบวนการทำให้เป็นเครือญาติ. ใน หลากชีวิตที่ไม่เคยเห็น นักกีฬาสมัยอยุธยา เญือะและเครือญาติ ไทยและไทใหญ่ในสภาวะลักลอบ (หน้า 151- 210). เชียงใหม่ : ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Amrith, M., and Coe, C. (2021). Disposable kin: shifting registers of belonging in global care economies. American Anthropologist,124(2), 307-318.
Carsten, J. (2020). Imagining and Living New Worlds: The Dynamics of Kinship in Contexts of Mobility and Migration. Ethnography, 21(3), 319-334.
Lévi-Strauss, C. (1969). The elementary structures of kinship (trans. J. Harle Bell, J.R. von Sturmer & R. Needham). Boston: Beacon Press.
McKinnon, S. (2017). Doing and Being: Process, Essence, and Hierarchy in Making Kin. In The Routledge Companion to Contemporary Anthropology, edited by Simon Coleman, Susan Hyatt, and Ann Kingsolver, 161-182. London: Routledge.
McKinnon, S and Cannell, F . (2013). Vital Relations: Modernity and the Persistent Life of Kinship. Santa Fe: SAR Press.
Schneider, D. (1980). American Kinship: A Cultural Account. (2nd ed). Chicago: the University of Chicago Press.
ผู้เขียน
วิมล โคตรทุมมี
นักวิจัย ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ป้ายกำกับ ญาติ ความสัมพันธ์ชั่วคราว เครือญาติศึกษา วิมล โคตรทุมมี