ไม่ปรากฏตัวหนังสือใด ๆ ในเรียงความเรื่องนั้น
[1]
ทันทีที่ลงจากรถ สุนัขสีดำปลายหางสีขาวก็เห่ากรรโชกพร้อมปรี่เข้ามาหา ครั้นเสียงปรามดังขึ้น เจ้าวายร้ายที่พร้อมจะฉีกเนื้อคนแปลกหน้ากลับเงียบเสียงลงทันที แล้วกลับไปนอนใต้ร่มมะม่วงใกล้ๆ แต่สายตายังคงมองมายังผู้มาเยือน
“เข้ามาเลย กาแฟมันไม่เคยกัดใคร มันแค่เห่าเฉย ๆ” หญิงวัยกลางคนชะโงกออกมาจาก หลังบ้านสังกะสีเก่าโทรมกลางสวนยางพารา ในมือมีหม้อเคลือบฟองน้ำยาล้างจาน
บนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน หญิงชราคนหนึ่งนั่งดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ หญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้กันลุกเดินเข้าไปข้างใน อุ้มเด็กทารกที่แผดร้องขึ้นมาจากเปลผ้า ป้อนขวดนมยัดปากเจ้าตัวเล็ก
ผู้มาเยือนรู้สึกคล้ายตนเองเป็นสิ่งแปลกปลอม พื้นที่เล็ก ๆ ซึ่งระเกะระกะไปด้วยข้าวของ บีบความรู้สึกให้ยิ่งอึดอัดเข้าไปอีก
สวนยางพาราแห่งนี้ห่างจากหมู่บ้านออกมาราวสี่กิโลเมตร มีสิ่งปลูกสร้างที่ประกอบขึ้นจากสังกะสีเก่า ๆ หลังหนึ่ง ทั้งหลังคาเต็มไปด้วยรูรั่ว ฝาผนังไม้กระดานเก่า ๆ นั้นเต็มไปด้วยภาพวาดที่ขีดเขียนด้วยถ่านสีดำ มีทั้งภาพของนักรบและการต่อสู้ บางภาพลวดลายดูแปลกตา บางภาพเหมือนนกตัวใหญ่ ภาพบางภาพก็คล้ายว่าจะเป็นหงส์
ไม่ว่าฤดูกาลไหน ชีวิตภายใต้หลังคาสังกะสีก็ได้รับผลกระทบหนักหนาสาหัสพอ ๆ กัน ฤดูร้อนที่พักของพวกเขากลายเป็นเตาอบ ฤดูฝนหามุมหลบความเปียกชื้นแทบไม่เจอ และยามนี้ฤดูหนาวเริ่มคืบคลานเข้ามา
นี่คือบ้านของยีซาน
ลูกชายของหญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า
“ยีซานไม่อยู่หรือคะ” ครูเอมถาม หลังจากแนะนำตัวและบอกว่าเป็นคุณครูประจำชั้นของเขา
“ยีซานออกไปกับพ่อเขาตั้งแต่กลับจากโรงเรียน” เธอตอบ “วันนี้เงินค่ายางออก สองคนนั้นไปเบิกเงินที่บ้านกำนันเสร็จก็คงจะอยู่ในตลาดสด นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว เดี๋ยวก็กลับกันมาแล้วค่ะ ครูอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหมคะ”
เธอเล่าต่อด้วยสำเนียงภาษาไทยที่ฟังดูแปร่งๆ ไปจากชาวบ้านคนอื่น ๆ ในละแวกนี้ว่า ตอนนี้พวกเขาอยู่กัน 6 คน พ่อของยีซานพาเธอข้ามแดนมาอยู่กับเถ้าแก่ตั้งแต่เด็กชายเริ่มเข้าเรียน ป.1
“สองคนนั้นพูดไทยไม่ได้” แม่ของยีซานกล่าวพลางหันไปหาหญิงชรากับหญิงสาวที่อุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมอก พร้อมเล่าถึงการอพยพมาของสองแม่ลูกที่หนีสงครามมาจากชายแดนฝั่งตะวันตก ในขณะที่ลูกสาวกำลังตั้งท้อง โชคร้ายที่พ่อของเด็กเสียชีวิตระหว่างจะข้ามพรมแดน
ครูเอมนิ่งเงียบ ฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ
“คุณครูมีธุระอะไรกับยีซานหรือเปล่าคะ” แม่ของเด็กชายถามคำถามซ้ำเมื่อเห็นว่าครูสาวกำลังจมอยู่กับความเงียบ
ครูเอมประมวลความรู้สึกในการรวบรวมประโยคที่จะเอ่ยชั่วขณะ ก่อนจะเล่าถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่ หลังจากที่ครูเอมเล่าจบ ความเงียบได้เข้ามากัดกินบทสนทนาอีกครั้ง หากครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเงียบฟัง แต่เป็นความเงียบงันของทั้งสองฝ่าย บรรยากาศพลบค่ำกลางสวนยางแห่งนี้ยิ่งยะเยียบเงียบงันขึ้นไปอีกทบทวี
ระหว่างนั้น เสียงมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งดังขึ้นตรงปากทางเข้าสวนยาง ครูเอมกับแม่ยีซานหันไปตามที่มาของเสียง เจ้ากาแฟวิ่งกระดิกหางไปยังซาเล้งที่กำลังเข้ามาจอดใต้ต้นมะม่วงตรงที่เจ้ากาแฟเคยนอน สองพ่อลูกช่วยหยิบถุงผักกับอาหารสดลงจากซาเล้ง พ่อมองรถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้ๆ ด้วยความสงสัย แต่ยีซานรู้สึกหวั่น ๆ เขารู้จักรถคันนั้น ทั้งสองเดินไปในเพิงหลังบ้านที่ต่อเติมออกมาเป็นครัว
“สวัสดีครับคุณครู” ยีซานเดินกลับมายกมือสวัสดี ก่อนนั่งหลบอยู่ข้างหลังแม่
“ว่าไงยีซาน” ครูเอมส่งยิ้มให้เด็กชาย
ความหวาดหวั่นก่อตัวอยู่ในสีหน้าและแววตาของยีซาน จากนั้นแม่ก็หันไปพูดกับลูกชายด้วยภาษามอญ แม้ครูเอมจะไม่เข้าใจความหมาย แต่รับรู้ได้ว่าเสียงที่แข็งกร้าวเกรี้ยวกราดนั้นสื่อความหมายชนิดใดออกมา เด็กชายนั่งก้มหน้า สิ่งซึ่งอัดอั้นอยู่ในอกที่เขาพยายามซ่อนเอาไว้ ค่อยๆ หยาดหยดลงบนไส้กรอกในมือ ผู้เป็นพ่อหันขวับมามองด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น!” พ่อถามขณะยื่นแบงก์ที่พับซ้อนกันไว้ให้หญิงวัยกลางคน เธอตอบด้วยภาษาที่ครูแปลไม่ออก ก่อนเดินไปปลดกระเป๋าผ้าที่แขวนไว้ในราวไม้ไผ่ ซึ่งใช้เป็นทั้งที่แขวนเสื้อผ้า ของสำคัญ ยันกระทะและเครื่องครัว ล้วงกระเป่าซิปใบเล็ก ๆ ออกมา บัตรสีชมพูใบหนึ่งร่วงพื้น หญิงวัยกลางคนรีบ เก็บขึ้นอย่างลนลานก่อนจะยัดเงินและบัตรลงในกระเป๋าใบนั้นด้วยความโมโห
สถานการณ์ยามนี้ทำให้ครูเอมเริ่มรู้สึกถึงการอยู่ไม่ถูกที่อีกครั้ง ความอึดอัดบีบเข้ามาเกาะกุมในความรู้สึกอีกหน ครูเอมรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เธอและยีซานตกอยู่ในสภาวะไม่ต่างกัน
ตรงหน้าครูเอม แววตาแดงก่ำที่กำลังมีน้ำตาซึมและไหลออกมาเป็นทางนั้นบีบหัวใจเข้าไปทุกทีๆ จังหวะแบบนี้เองสินะที่เขาบอกว่าหากมีใครสักคนกำลังพยายามกลั้นน้ำตาให้แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น ครูเอมคิดในใจ แต่จะทำเช่นไร เมื่อครูเอมอยากจะเข้าไปโอบกอดและปลอบลูกศิษย์คนนี้เหลือเกิน
“ไม่ต้องให้มันกินหรอกข้าว!” เสียงตะโกนของหญิงวัยกลางคนดังมาจากเพิงหลังบ้าน แววตา แดงก่ำที่พยายามอดกลั้นเอาไว้ก่อนหน้า ครานี้ไม่มีสิ่งใดทัดทานเขื่อนน้ำตานั้นไว้ได้อีกแล้ว มันไหลทะลักพอ ๆ กับเรื่องราวอัดอั้นมากมายที่ครูเอมอยากจะพรั่งพรู แตกต่างกันเพียงเรื่องราวเหล่านั้นยังไม่ทันแม้แต่จะได้พูดออกมา
ครูเอมลาทุกคนออกมาก่อนมื้อค่ำ รู้สึกผิดกับการเป็นต้นเหตุให้อาหารมื้อพิเศษของยีซานถูกทำลายลงไป มากกว่านั้น คือนึกเจ็บใจตัวเองในฐานะครูประจำชั้นที่จัดการอะไรให้ดีไปกว่านี้ไม่ได้เลย สำหรับเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ในห้องทั่วไป แม้บาดแผลเพียงเล็กน้อยหรือรอยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มจะเปื้อนหน้าแค่ไหนก็จะถูกโอบกอดให้หายได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นกับยีซาน เด็กชายที่มีรหัสนำหน้าด้วยตัวอักษร G และเกิดมาในครอบครัวที่แม่มีบัตรประจำตัวสีชมพู ความรู้สึกนี้จึงหนักอึ้งราวกับถูกกดทับด้วยภูเขา
[2]
เสียงกริ่งเปลี่ยนชั่วโมงดังขึ้นทั่วอาคารเรียน เด็กนักเรียนชั้น ม.3 ที่มาเรียนวิชาภาษาไทยในชั่วโมงก่อนหน้า เก็บสมุดหนังสือสัมภาระเตรียมเดินออกจากห้องไปเรียนวิชาต่อไป สำหรับที่นี่เสียงกริ่งไม่เพียงเป็นสัญญานเตือนให้ทราบถึงการเวียนเปลี่ยนวิชาเรียน หากแต่เป็นชั่วโมงที่เด็ก ๆ เวรอาหารกลางวันรอคอย จะได้แสดงฝีมือประชันกันในแต่ละวัน และสำหรับนักเรียนหญิงก็จะได้สวมบทบาทเป็นเชฟและคอยตักอาหารให้กับนักเรียนคนอื่น ๆ ส่วนนักเรียนชายครูเป็นต้องคอยยืนถือไม้กำกับการล้างโรงอาหารที่เปียกกันยันชุดนักเรียนในตอนท้าย
“วันนี้น้อง ป.6 ทำอะไรกินคะครู” หัวหน้าห้องชั้น ม.3 ถามขึ้นขณะครูเอมกำลังเซ็นชื่อในใบติดตามการเรียนการสอน
“ก๋วยเตี๋ยวไก่ กับของหวานสาคู” ครูเอมตอบพร้อมยื่นเอกสารให้หัวหน้าห้องนำไปให้ครูผู้สอนวิชาถัดไป
“เย่! วันนี้ได้กินก๋วยเตี๋ยว” หัวหน้าห้องร้องดีใจ ทั้งกึ่งวิ่งอย่างลิงโลดเพื่อนำข่าวไปบอกเพื่อนๆ ในห้อง
ก๋วยเตี๋ยวเป็นเมนูประจำสัปดาห์ที่นักเรียนในโรงเรียนตั้งตารอคอย นั่นไม่ใช่เพราะมันอร่อยไปกว่าเมนูใด ๆ ทว่าวันไหนที่มีก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารกลางวันนักเรียนจะสามารถเวียนกลับมาเติมน้ำซุป เพิ่มเส้นและผักได้อีกครั้ง
“ครูครับ ๆ” เสียงร้องเรียกครูดังขึ้นก่อนจะได้เห็นตัวคน
“มีอะไรยีซาน ครูกำลังจะเดินไป” ครูเอมพูดขึ้นขณะกำลังเก็บของเตรียมไปดูการทำอาหารของนักเรียนประจำชั้นซึ่งไปรออยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้แก๊สหมดครับครู” ยีซานกล่าวด้วยอาการหอบ “ผมขออนุญาตออกนอกโรงเรียนไปเปลี่ยนแก๊สกับปัญญานะครับครู”
ปัญญาคือลูกชายของกำนันเจ้าของลานยางที่ใหญ่ที่สุดในตำบล ผู้เป็นทั้งประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนและเถ้าแก่ของครอบครัวยีซาน
บ้านของปัญญาเปิดร้านโชห่วยขนาดใหญ่ซึ่งเป็นร้านค้าเพียงร้านเดียวในละแวกนี้ ด้วยฐานะที่ดีกว่านักเรียนคนอื่น ๆ ปัญญาจึงมีรถมอเตอร์ไซค์ขี่ไปโรงเรียน วันไหนที่เป็นเวรอาหารกลางวัน บ่อยครั้งปัญญามักจะโดนครูเอ็ดเรื่องการแอบขี่รถออกนอกโรงเรียนทำทีเป็นไปซื้อโน่นซื้อนี่เพื่ออู้งาน แต่ครั้งนี้ด้วยเหตุจำเป็นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ บวกกับเวลาในการทำอาหารกลางวันให้ทันชั้นอนุบาลที่จะทานตอน 11 โมง ครูเอมจึงอนุญาตให้ปัญญาขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกนอกโรงเรียนไปกับยีซานได้
ที่โรงอาหารนักเรียนแต่ละคนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารตามหน้าที่ที่ครูเคยแบ่งไว้ให้กันอย่างขะมักเขม้น
“ครูครับ ทำไมยีซานถึงได้ออกไปกับปัญญาอีกแล้วครับครู” บอลนักเรียนชายที่กำลังขนหม้อออกมาใส่น้ำเตรียมต้มถามขึ้น
“ก็ยีซานเป็นเด็ก G ไง ไอ้บอล”
“หุบปากไปเลยอีกิ่ง กูถามครู ไม่ได้ถามมึง” บอลตอบกลับทันทีที่กิ่งแทรกขึ้นระหว่างที่ตนถาม
ยังไม่ทันได้คำตอบจากครู กิ่งก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“อ้าว แล้วกูพูดผิดตรงไหน ก็ยีซานมันเป็นเด็กต่างด้าว ครูเคยบอกตอนพวกเราแนะนำตัวกันในห้องเรียนมึงจำไม่ได้รึไงไอ้บอล” ครูเอมเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงรีบตัดบททั้งสอง
“ที่ครูเรียกยีซานว่าเด็ก G เพราะยีซานคือเด็กต่างด้าวที่เรียนมากับเรา แม้อายุจริงเขาจะเป็นพี่ของพวกเราเพราะเข้าเรียนไม่ตรงตามอายุ แต่เมื่อเรียนอยู่ห้องเดียวกันเราก็ต้องรักสามัคคีกันเหมือนเพื่อนเราคนหนึ่ง”
ครูเอมอธิบายอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่านักเรียนแต่ละคนจะไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังครูเท่าใดนัก ต่างคนต่างหันหน้ากันไปคนละทิศละทางเมื่อเห็นสีหน้าแววตาครูเริ่มดุ
“แล้วที่ยีซานได้ออกไปก็เพราะเขาตัวโตและแข็งแรงพอที่จะยกถังแก๊สได้ ไม่ได้ให้ออกไปขี่รถเล่นสนุกกัน เข้าใจรึยังบอล” ครูเอมพูด
“ครับผม” บอลตอบเสียงแผ่ว
“น้ำจะได้ต้มวันนี้ไหม ไอ้ปัญญากับยีซานมันพากันไปเปลี่ยนแก๊สอยู่อำเภอไหนวะ” เพื่อนอีกคนในกลุ่มเริ่มคุยกันระหว่างรอแก๊สเพื่อต้มน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว นั่นเป็นคำถามเดียวกับที่ครูเอมกำลังคิด
“โน่น มันมาโน่นกันแล้ว” เสียงแหลมๆ ของกิ่งร้องขึ้นพลางชี้นิ้วไปหน้าประตูทางเข้าโรงเรียน
ครูเอมและเด็ก ๆ มองไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่ปาดเบาะ แต่งล้อ โหลดต่ำซึ่งกำลังชะลอความเร็วผ่านลูกระนาดทีละลูกบนถนนคอนกรีตเข้ามา โดยมีเด็กชายร่างท้วมใหญ่อุ้มถังแก๊สนั่งซ้อนท้ายอย่างหมิ่นเหม่ต่อการร่วงแหล่มิร่วงแหล่
“ร้านพ่อมันใกล้ ๆ ไม่ยอมไป มันให้ผมแบกถังแก๊สแล้วขับรถเลยไปเกือบถึงอำเภอโน่นครับครู” ยีซานกล่าวขึ้นก่อน
“แล้วมึงไปกับกูทำไม ไอ้ ยี ซานนนน” ปัญญาเดินตามมาตบหัวเพื่อนฉาดใหญ่ตามประสาเด็กผู้ชายหยอกล้อกัน
“กูกระโดดลงได้เหรอ” ยีซานกล่าว “ให้กูแบกถังแก๊สตั้งไกล ไปหาพ่...มึงเหรอ”
“พ่อกูอยู่บ้าน ตามึงไม่เห็นรึไง ทำยังกะมึงได้แบกเดิน!”
“หยุด! พอกันทั้งคู่” ครูเอ็ดขึ้น “ไปช่วยเพื่อนทำงานได้แล้ว รอบนี้ครูจะขึ้นบัญชีไว้”
ครูสาวกล่าวเสียงหนัก ก่อนจะให้ทั้งคู่ไปช่วยกันตั้งเตาแก๊สแล้วยกหม้อเบอร์ 42 ที่มีน้ำอยู่เกือบเต็มขึ้นต้มซุปก๋วยเตี๋ยว ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน ยีซานยกถังแก๊ส ส่วนปัญญาแสร้งเดินขวางหน้าพลางแลบลิ้นปลิ้นตาไปพลาง ครูเอมเหนื่อยที่จะคุยกับนักเรียนชายทั้งสองจึงเบือนหน้าหนีไปดูความเรียบร้อยของขนมหวานที่นักเรียนหญิงกำลังตระเตรียม
นอกจากยกถังแก๊สไปเปลี่ยน อีกหนึ่งหน้าที่ที่มักตกไปอยู่กับยีซานและปัญญานั่นคือการนำเศษอาหารที่เหลือไปเทให้หมูในเล้าที่เลี้ยงไว้เนื่องในโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนขยายโอกาส
ด้วยน้ำหนักของเศษอาหารที่ไม่สามารถยกได้ไหวเพียงคนเดียวเส้นทางระหว่างโรงอาหารถึงเล้าหมูจึงเป็นไปอย่างร่วมมือ แต่ทันทีที่การเทอาหารเสร็จสิ้น ผู้ที่ช้ากว่าย่อมจะได้เป็นผู้ล้างหม้อเศษอาหาร ใบใหญ่ บ่อยครั้งที่ชัยชนะในการวิ่งทิ้งหม้อเป็นของผู้ที่มีความว่องไวปราดเปรียวกว่าอย่างปัญญา บางครั้งมีจังหวะที่ยีซานใช้ทีเผลอออกวิ่งล่วงหน้า ทว่ากลับมี
ฝาหม้อลอยตามมาติด ๆ หนักเข้าจนทั้งหม้อและฝามีรอยบุบ จอมแสบประจำห้องทั้งสองจึงโดนครูทำโทษบ่อยครั้ง เมื่อโดนลงโทษปัญญาก็เลิกเล่นตามคำสั่งครู ส่วนยีซาน การได้มีเพื่อนสักคนมันคุ้มค่ากว่าบทลงโทษใด ๆ ปัญญาคือเพื่อนคนเดียวคนนั้น
ชั่วโมงสุดท้ายหลังจากครูมอบหมายการบ้านเรียบร้อย เป็นเวลาประจำของยีซานในการหิ้วถังไปเอานมมาแจกเพื่อน ๆ ส่วนเวรประจำวันก็ช่วยกันดูแลความสะอาดของห้อง ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาอิสระของนักเรียนที่ไม่มีภารกิจใด ๆ
เหล่านักเรียนชายกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่หน้าห้องระหว่างรอสัญญาณเข้าแถวเลิกเรียน อาณาเขตแห่งการวิ่งเล่นเริ่มตีรัศมีกว้างขึ้นและห่างออกไป ครูเอมไม่อาจวางใจจึงแอบจ้องมองอยู่ห่างๆ พลางกวาดสายตานับสมาชิกของนักเรียนชั้น ป.6 ไปด้วย เกมการเล่นซ่อนหาทำให้การมองหาสมาชิกของครูเอมไม่ง่ายดายนัก แต่ที่เห็นอย่างชัดเจนนั่นคือผู้ที่กำลังหลับตานับเลขอย่างช้า ๆ ด้วยสำเนียงที่ต่างออกไปจากนักเรียนคนอื่น ๆ
ครูเอมละสายตาจากอาณาเขตแห่งการซ่อนหาแล้วหันมาตรวจการบ้านที่กองบนโต๊ะจนเสร็จ รู้สึกว่าเสียงวิ่งไล่เจี๊ยวจ๊าวเริ่มเงียบไป สักพักจึงเงยหน้าขึ้นมาดู เห็นสมาชิกเหลืออยู่แค่ 5 ชีวิตซึ่งเป็นฝ่าย ซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้ากำลังอยู่ในอาการกึ่งซ่อนตัว กึ่งวิ่งหา ส่วนคนที่หลับตานับเลขตอนนี้กลับไม่ปรากฏตัวเสียแล้ว
ครูเอมเริ่มรู้สึกถึงความผิดแปลกบางอย่างของการซ่อนหาครั้งนี้ เมื่อเห็นบางคนถือไม้ขนาดยาว บางคนถือเสียม บางคนก็ทำท่ากางไม้กางมือออกทั้งสองข้างอย่างท่าทางของผู้รักษาประตู
“นั่น ๆ มาแล้ว ๆ ทางนั้น ๆ ดักมันไว้เร็ว”
ปัญญาส่งสัญญาณสั้นๆ แต่จริงจังกว่าทุกครั้งเพื่อสะกิดเพื่อน
ครูเอมหันตามทิศทาง เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวลิบ ๆ อยู่ในป่ามะม่วงหิมพานต์ซึ่งเป็นพื้นที่นอกเขตรั้ว จึงรีบปรี่ออกจากห้องเรียน
“ตายแน่มึง! ใกล้จะเลิกเรียนแล้ว ทิ้งมันไว้นี่เลยดีมั้ยวะ” บอลเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้ ขืนครูรู้เข้าโดนตีตายกันหมดแน่” อีกคนกล่าว
“ไอ้ปัญญา ไอ้ห่า เพราะมึงนั่นแหละ!”
“มึงด้วยนั่นแหละ ไอ้สั...!” สมาชิกในกลุ่มเริ่มกล่าวโทษกัน เมื่อแผนการของปัญญาเริ่มไม่สนุกอย่างที่คิด
“ก็ใครจะไปรู้ว่าหมูมันจะไล่จับยากขนาดนี้วะ กูกะจะปล่อยลูกมันมาเล่นแค่ตัวเดียว”
“นั่น ๆ มาแล้ว ๆ” เด็กชายอีกคนทำท่ากางมือออกแล้ววิ่งสะกัดซ้ายขวาอยู่กับที่อย่างตื่นตระหนก
“ไอ้ปัญญา ละมึงไปยืนอยู่ตรงทางเข้าทำไม เดี๋ยวหมูมันก็ไม่กล้าเข้าไปหรอก”
“แล้วถ้ากูไม่ยืนรอเปิดประตู หมูมันจะวิ่งเข้าทางไหนวะ!”
ยังไม่มีวี่แววของยีซาน จากที่แกล้งทำหมูหลุดให้ยีซานตามไล่ ในเวลานี้กลับเป็นทุกคนที่กำลังร้อนรนอยู่กับการไล่ต้อนหมูเสียเอง
“ไอ้ยีซานมันหายหัวเข้าป่านานเกินไปแล้วนะเว้ย” ใครคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น “มันจะรู้ไหมว่าหมูวิ่งมานี่แล้ว” ลูกหมูตัวเล็กที่กำลังหาทางเข้าเล้าตกใจการไล่ต้อนของเด็ก ๆ จนวิ่งเตลิดไปอีกทาง
“ไอ้ปัญญา! มึงก็เปิดประตูดิวะ ใกล้จะถึงเวลาเลิกเรียนแล้วเนี่ย”
“กูก็ไม่อยากโดนตีโทษฐานหลบแถวนะโว้ย” อีกคนสมทบ
“ให้กูเปิดยังไง หมูกองอยู่หน้าประตูหมดแล้วตามึงไม่เห็นเหรอ” ปัญญาพูดขึ้นในท่าหันหลังดันประตูไว้ด้วยเกรงทำหมูหลุดเพิ่ม ลูกหมูตัวข้างนอกยังคงวิ่งวนอยู่อย่างนั้นเพื่อหาทางเข้า บอลใช้ไม้ฟาดไล่จากอีกฝั่ง อีกคนวิ่งกางมือดักทางไม่ให้หมูไป เมื่อได้จังหวะนักเรียนอีกคนก็กระโจนลงในทันทีเพื่อตะครุบเอาลูกหมูที่อยู่ตรงกลางวง เสียงกริ่งส่งสัญญาณเลิกเรียนดังขึ้นในจังหวะนั้น
เด็กชายที่กระโจนลงกลางวงค่อยๆ เงยหน้า
เสียงหัวเราะของเพื่อนดังขึ้นพร้อมกับภาพเบื้องหน้า โคลนแฉะ ๆ ปนกลิ่นขี้หมูที่เปรอะไปทั้งแขนขาทำเจ้าตัวร้องอี๋จนต้องรีบลุกไปเปิดน้ำก๊อกฉีดล้าง
ไร้ร่องรอยของลูกหมู ทุกอย่างชุลมุนอยู่กับการช่วยล้างตัวเพื่อน
“ใครจะไล่ก็ไล่ไปกูไม่อยู่แล้วโว้ย” เด็กชายที่เพิ่งตะครุบโคลนกล่าว แล้วสมาชิกอีกสามคนก็ทิ้งเสียม ทิ้งไม้เดินตามกันไปติดๆ
ปัญญายืนพิงประตูหน้าเล้าหมูมองตามหลังเพื่อนคนสุดท้าย เหลียวมองไปยังชายป่าหลังโรงเรียนที่เงียบสงัด
ยามเย็นของฤดูหนาวคือห้วงเวลาที่ความมืดคืบคลานเข้ามาไวกว่าฤดูไหน ๆ ยิ่งมองหากลับยิ่งเจอแต่ความว่างเปล่า เวลานี้เด็กชายไม่ได้คิดกังวลถึงเรื่องหมูโรงเรียนที่ทำหลุดอีกแล้ว แต่การไร้เสียงตอบรับจากเพื่อนต่างสัญชาติของเขาต่างหาก ที่ทำให้ปัญญาเย็นยะเยียบเข้าไปถึงข้างใน
“ยีซ้านนนนน” ปัญญาร้องตะโกนสุดเสียง มีเพียงความเงียบงันตอบกลับมา ราวกับพลังเสียงทั้งหมดถูกกลืนหายเข้าไปในหลุมดำเมื่อความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าสูญสลายไป มันช่างไม่ต่างกับการที่เขาพยายามทำให้เพื่อนในห้องยอมรับยีซานมาจนถึงวันนี้
[3]
หกปีก่อน ปัญญาได้เจอยีซานครั้งแรกเมื่อพ่อรับลูกจ้างเข้ามากรีดยาง พ่อของยีซานปลูกกระท่อมหลังเล็ก ๆ ไว้ในสวนยางท้ายหมู่บ้าน ตอนเด็ก ๆ ปัญญาชอบปั่นจักรยานไปเล่นกับยีซานอยู่บ่อย ๆ เพราะที่บ้านมักจะมีแขกของพ่อแวะเวียนมาดื่มกินอย่างไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นรวมไปถึงผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ บ่อยครั้งที่เบื่อบรรยากาศโหวกเหวกโวยวาย ปัญญาจะหนีไปขลุกอยู่กับโอเลี้ยง เมื่อโอเลี้ยงคลอดลูกปัญญาก็อุ้มไปให้ยีซานหนึ่งตัว ยีซานตั้งชื่อลูกหมาตัวนั้นว่ากาแฟ
ปัญญากับยีซานเริ่มเล่นด้วยกันมานับจากนั้น หากไม่นับโอเลี้ยง ยีซานก็คือเพื่อนคนแรกของปัญญา ยีซานวาดรูปเก่งและชอบวาดรูปมากปัญญาจึงหอบสีและสมุดวาดรูปไปเล่นกับยีซานเป็นประจำ กระทั่งถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียน พ่อของยีซานจึงพาลูกชายมาเข้าเรียนชั้น ป.1 พร้อมกัน แม้ว่าอายุจริงนั้นจะมากกว่านักเรียน ป.1 คนอื่น ๆ ไปถึง 2 ปี ในห้องจึงไม่ค่อยมีใครอยากเล่นกับยีซาน ปัญญารู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงเท่านั้น ยีซานคือเด็ก G ในระบบการศึกษา ยีซานคือลูกของคนต่างด้าว
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองมีเพื่อนเป็นต่างด้าวจึงมักหาเหตุผลมากมายมาปลูกฝัง รวมไปทั้งครอบครัวเขาเอง
[4]
วันประชุมผู้ปกครองในภาคเรียนที่สองของปีการศึกษา หลังจากที่ผู้อำนวยการโรงเรียนได้ชี้แจงนโยบายผู้ปกครองก็จะแยกย้ายเข้าพบครูประจำชั้นตามห้องเรียน
“คุณครูคะ ที่โต๊ะยีซานยังไม่มีใครมานั่ง” หัวหน้าห้องกล่าวขึ้น
เหลือเพียงเก้าอี้ที่นั่งเดียวที่ยังว่างก่อนการเริ่มประชุม ครูเอมเดินไปส่องที่หน้าประตูเพื่อดูว่ายังมีผู้ปกครองอยู่ข้างนอกอีกหรือไม่ เห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมาจากประตูทางเข้าโรงเรียน ยีซานวิ่งมาถึงหน้าห้องด้วยอาการเหนื่อยหอบ กลิ่นน้ำยางยังติดมากับชุดนักเรียนตัวเดียวกับที่เขาสวมใส่มาในเมื่อวาน
มองเข้าไปข้างใน แม้ว่าจะผ่านมันมาถึงหกปี ยีซานยังรู้สึกถึงความเป็นอื่นและแปลกแยกกลางห้องสี่เหลี่ยมอีกครั้งจากสายตาทุกคู่ที่มองมา เขาค่อย ๆ เข้าไปนั่งอย่างช้า ๆ เก้าอี้ที่เคยนั่งในฐานะนักเรียนทุกวัน วันนี้ยีซานนั่งมันในฐานะผู้ปกครองของตัวเอง
ครูเริ่มชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ ให้ผู้ปกครองทราบ ยีซานเริ่มรู้สึกเกร็งและทำอะไรไม่ถูก ทุกครั้งที่ตื่นเต้นมาก ๆ เขาจะยัดมือเข้าไปในช่องโต๊ะและไม่เอาออกมาจนกว่าจะสถานการณ์จะผ่อนคลาย
บ่ายวันเดียวกัน หลังจากประชุมผู้ปกครองเสร็จ ผู้อำนวยการและคณะครูก็ประชุมหารือกันต่อรวมถึงให้ครูประจำชั้นเสนอชื่อนักเรียนเข้ารับทุนเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทุนละ 3,000 บาท
“ห้องอื่น ๆ เป็นไปตามนี้ไม่มีปัญหา ส่วนชั้นป. 6 ให้ครูเอมวิกาพิจารณารายชื่อแล้วเสนอมาใหม่นะครับ” ผู้อำนวยการกล่าวขึ้นในที่ประชุม
“ดิฉันได้พิจารณาดีแล้วค่ะ ผอ. ตามเกณฑ์การคัดเลือกเขาคือนักเรียนที่เหมาะสมจะได้รับทุนการศึกษานี้ค่ะ” ครูเอมอธิบายเหตุผล
“เราต้องให้โอกาสนี้กับเด็กของเราก่อน” ผู้อำนวยการย้ำเสียงแข็ง
“แต่ยีซานก็เด็กของเรา เป็นนักเรียนในโรงเรียนของเราเหมือนกันนะคะ”
ครูเอมยังไม่ยอมลดละ และเริ่มเพิ่มระดับเสียงในการอธิบายถึงคุณสมบัติที่คู่ควรแก่ทุนการศึกษาทั้งการเรียนและสภาพความเป็นอยู่
“แต่เขาเป็นเด็ก G เขาไม่ใช่คนไทย” ผู้อำนวยการพูดพลางทิ้งเอกสารในมือลงบนโต๊ะ ครูเอมสะดุ้ง
“มีคุณครูท่านใดสงสัยประเด็นไหนอีกไหมครับ” ทุกคนในที่ประชุมเงียบกริบ “ถ้าไม่มีผมขอปิดการประชุม” พูดจบ ผู้อำนวยการก็ลุกออกจากโต๊ะไปในทันที
ครูเอมรู้สึกชาไปทั้งตัว ขณะที่ครูคนอื่น ๆ เริ่มทยอยออกจากห้องประชุม
ที่ห้อง ป.6 บรรยากาศเวลานี้กำลังชุลมุนวุ่นวายและตึงเครียดพอ ๆ กับห้องประชุมของโรงเรียน เหตุเกิดหลังจากผู้ปกครองกลับบ้านไปจนหมดแล้ว ยีซานยังคงนั่งอยู่ที่เดิมกับสมุดการบ้านของตนเอง
“เมื่อวานหายไปไหนมา เพื่อนเค้ารอกันจนเลิกเรียน” บอลเดินมาที่โต๊ะแล้วกระชากสมุดนั้นออกไป ยีซานเงยหน้าขึ้นมอง เอื้อมไปคว้าสมุดการบ้านคืนมาแล้วยัดลงไปในช่องใต้โต๊ะ
“ไปตามหาหมู” ยีซานกล่าว ก่อนเล่าถึงเหตุการณ์ที่ลูกหมูวิ่งไปติดในซอกต้นไม้ กว่าจะตามเจอและเอาออกได้ก็จวนมืดค่ำ
“โกหก แม่กูเคยบอกว่าต่างด้าวขี้โกหก ไม่น่าไว้ใจ” บอลพูดขึ้น
“พอรู้ว่าหมูหลุด ก็ไม่อยากช่วยพวกเราจับหมูแล้วแอบไปซ่อนตัวมากกว่ามั้ง” อีกคนเสริม
“อยู่มาตั้ง 6 ปี ไม่เคยเห็นมีใครมาประชุมผู้ปกครองให้ ไอ้ต่างด้าวไม่มีญาติ” ยีซานจ้องบอลตาเขม็ง สีหน้าเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ อีกฝ่ายยิ่งได้ใจเมื่อเห็นว่ายีซานไม่ตอบโต้
“ไอ้เด็ก G เอ้ย” พูดจบบอลรีบเบียดตัวเข้าไปเพื่อล้วงแย่งสมุดออกมาจากช่องใต้โต๊ะยีซานก้มลงกำสมุดไว้แน่น พอ ๆ กับอีกข้างที่กำลังกำหมัด บอลถูกแรงอัดจากกำปั้นเข้าที่โหนกแก้มข้างขวาจนเซล้ม ยีซานตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุรุนแรง
เพื่อนคนอื่น ๆ ตกใจกับเหตุการณ์ต่างพากันถอยออกไปยังหน้าประตู ส่วนหัวหน้าห้องก็รีบวิ่งไปตามครูประจำชั้นในทันที
“ไอ้ปัญญา มึงต่อยกูทำไมวะ” บอลลั่นเสียงขึ้น
“ก็มึงไปหาเรื่องเขาก่อนทำไมล่ะ” ปัญญาตอบกลับ บอลลุกขึ้นผลักปัญญาแล้วเตะเข้าที่ขา ปัญญาเซไปเพียงเล็กน้อยจึงยกขาจะถีบกลับ จังหวะนั้น ยีซานลุกขึ้นมาขวางเอาไว้ได้ทันเวลา แรงเหวี่ยงจากมือของยีซานที่เข้ามาห้ามฟาดไปโดนตัวปัญญาทำให้เขาล้มลงกระแทกเข้ากับมุมโต๊ะของครูประจำชั้นที่มีกระจกรองอีกที คมของมุมแหลมนั้นกระแทกเข้าที่ศีรษะของปัญญา แผลที่บาดลึกนั้นทำให้เลือดไหลออกมาเป็นทางจนเลอะเสื้อนักเรียน ยีซานหันกลับมาดูปัญญา จังหวะนั้นสัญญาณกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ครูเอมกลับเข้ามาถึงห้องพอดี
[5]
รถยนต์วิ่งเข้าวิ่งออกที่ลานหน้าบ้านของปัญญาอย่างคึกคักรวมถึงรถของครูเอมในการเลือกตั้งนายก อบต.สมัยหน้าที่กำลังจะมาถึง พ่อของปัญญาคือหนึ่งในว่าที่ผู้ลงสมัคร
“หลังจากจบ ป.6 พ่อจะส่งผมไปเรียนต่อมัธยมในอำเภอ”
ปัญญาเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ครูเอมฟังขณะนั่งรถกลับจากทำแผล ปัญญารู้ว่ามันคืออุบัติเหตุที่ ยีซานไม่ได้ตั้งใจ แต่สีหน้าของปัญญาในยามนี้คล้ายมีความกังวลบางอย่างหนักอึ้งอยู่ในใจ
“บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปเล่นกับไอ้ลูกคนงานต่างด้าวนั่น” ชายวัยกลางคนขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจหลังจากที่ครูเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
“มันเป็นอุบัติเหตุ ยีซานไม่ได้ตั้งใจผลักผม” ปัญญาพยามอธิบาย
“จะยังไงก็ช่าง ต่อไปนี้ห้ามไปเล่นกับมันอีก” กำนันยืนยันเสียงแข็ง
“ไม่ ยีซานเป็นเพื่อนผม เราเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ ป.1” ปัญญาไม่ยอมลดละ
เสียงทุบโต๊ะดังปัง ทำเอาทุกคนสะดุ้งไม่เว้นแม้แต่ครูเอม “แต่มันเป็นเด็กต่างด้าว เข้าใจมั้ยว่ามันเป็นต่างด้าว” ความเงียบห่มคลุมทั่วบริเวณบ้าน คนงานชาวพม่าที่กำลังจัดของในร้านค่อยๆ ร่นถอยออกไปอยู่ในมุมเล็ก ๆ ข้างหลังร้าน
“พรุ่งนี้ผมจะไปพบ ผอ. และจะเอาเรื่องครอบครัวนั้นให้ถึงที่สุด” กำนันกล่าว
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ เรื่องนี้เราค่อยๆ คุยกันก่อนก็ได้” ครูเอมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ไปบอกพวกมัน ผมจะเอาค่าทำขวัญของปัญญา 3,000 บาท ภายในศุกร์นี้ ไม่เช่นนั้นเรื่องไม่จบแน่” กำนันยืนยันอย่างไม่ลดละเมื่อครูเอมสวนกลับว่าการเรียกร้องเงินจำนวนนี้กับครอบครัวยีซานนั้นเรื่องยากที่จะหามาให้ได้ทันตามกำหนด
“แต่ครอบครัวนี้เป็นลูกจ้างของกำนัน กำนันก็รู้ฐานะของพวกเขาดีว่าเป็นยังไง” ครูเอมพยายามเจรจา ด้วยลึกๆ ในใจ ครูเอมไม่อยากให้เรื่องราวนี้เอิกเกริกไปถึง ผู้อำนวยการโรงเรียน
“ใช่ พวกมันเป็นครอบครัวต่างด้าว” ชายวัยกลางคนเสียงแข็ง “พวกมันเป็นแค่ลูกจ้าง เพราะฉะนั้นผมจะเรียกร้องหรือจะทำอะไรยังไงกับพวกมันก็ได้ มันเป็นสิทธิ์ของผม”
[6]
“เจ้าหมากาแฟนั่นมันแค่เห่า ไม่เคยกัดใคร”
หญิงวัยกลางคนชะโงกออกมาจากหลังบ้าน ในมือมีหม้อเคลือบฟองน้ำยาล้างจาน บอกให้เธอเข้ามา
แม่ของยีซานบอกถึงสาเหตุที่ไม่ได้ไปประชุมผู้ปกครองเพราะไม่สะดวกในการเดินทาง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเธอจะต้องอยู่ดูแลแม่และลูกสาวคู่นั้น ทั้งยังมีหลานน้อยวัยแบเบาะอีกคน จึงไม่สามารถออกไปไหนได้
“สภาพความเป็นอยู่ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครู” แม่ของยีซานพูด
จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็เล่าถึงเรื่องราวการอพยพมาจากชายแดนฝั่งตะวันตกของครอบครัว การเข้ามาอยู่ในสวนยางแห่งนี้ และตอนนี้ตนมีบัตรสีชมพูที่เถ้าแก่ให้คนของเขาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับแม่กับลูกสาวที่เพิ่งอพยพลี้ภัยตามมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนั้น เถ้าแก่ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก แต่พ่อของยีซานได้ร้องขอเอาไว้ เพราะนอกจากเธอแล้วทั้งคู่ก็ไม่หลงเหลือญาติพี่น้องที่ไหนอีก ด้วยเหตุนี้ เถ้าแก่จึงกำชับให้ทุกคนอยู่กันเงียบ ๆ ในสวนยาง หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกไปเพ่นพ่านที่ไหนจนกว่าการเลือกตั้งนายก อบต. ครั้งนี้จะเสร็จสิ้น
ระหว่างนั้น เสียงมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งดังขึ้นตรงปากทางเข้าสวนยาง
[7]
ที่โรงอาหารของโรงเรียน เป็นสัปดาห์แรกที่ ป.6 ไม่ต้องทำอาหารในเวรของตนเองในวันประชุมผู้ปกครองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนแจ้งว่ามีผู้ใหญ่ใจดีจะมาเลี้ยงอาหารกลางวันพร้อมมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน เวลานี้บรรยากาศภายในโรงเรียนต่างคึกคักเจี๊ยวจ๊าวไม่แพ้ร้านโชห่วยในชุมชน เด็ก ๆ ทุกคนต่างตื่นเต้นกับการขึ้นแสดงขอบคุณบนเวทีอเนกประสงค์ของโรงอาหาร มีเพียงปัญญาที่ดูเซื่องซึมไม่ค่อยพูดจาแม้จะได้เป็นตัวแทนของนักเรียนชั้น ป.6 ขึ้นรับทุนการศึกษาจำนวน 3,000 บาทในครั้งนี้
ครูเอมง่วนอยู่กับภารกิจที่กำลังวุ่นตรงหน้า แม้วันนี้ไม่ต้องกำกับการทำอาหารของนักเรียน แต่ครูเอมก็คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่จุดตักอาหารและแจกขนมที่ผู้ใหญ่ใจดีนำมาเลี้ยง
ครูเอมหันไปเจอบอลกับเพื่อนอีกคนกำลังหยอกล้อกันอยู่ใกล้ ๆ จึงเรียกให้มาช่วยยกหม้อลอดช่องขึ้นวางบนโต๊ะ ขณะที่ทั้งคู่ได้ออกแรงยกหม้อใบใหญ่หูหม้อฝั่งหนึ่งได้ลื่นหลุดจากมือของบอล ครูเอมรีบปรี่เข้าไปรับไว้ทัน แต่กระโปรงบานตัวโปรดนั้นก็เลอะน้ำของหวานจนต้องกลับไปเปลี่ยนที่บ้านพัก
ทันทีที่การแสดงชุดแรกเริ่มขึ้น เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราวตามกัน
จังหวะนั้น ไม่มีใครทันเอะใจกับการหายไปของสมาชิกในห้อง ป.6
สามวันต่อมา โรงอาหารของโรงเรียนกลายเป็นหน่วยเลือกตั้ง ข่าวการชนะเลือกตั้งของพ่อปัญญาได้กลายเป็นประเด็นในวงสนทนาไปทั่วทั้งตำบล
[8]
สุดสายของถนนคอนกรีต ครูเอมหักรถเลี้ยวขวาไปตามถนนดินลูกรัง ผ่านไร่สับปะรดเวิ้งใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ก่อนจะเข้าสู่ทางในสวนยางพาราอีกสวน ที่ซ่อนบ้านของยีซานไว้ในนั้น
ทันทีที่จอดรถทุกอย่างดูเงียบจนผิดปกติ เจ้ากาแฟวิ่งออกมาจากหลังบ้านด้วยอาการเซื่องซึม ไม่มีเสียงเห่าเหมือนคราวก่อน หลังจากที่วิ่งมาดมอยู่ครู่หนึ่ง ครูเอมเปิดประตูรถหยิบข้าวเหนียวไก่ทอดที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดโยนให้ เจ้ากาแฟวิ่งเข้าไปหาอย่างหิวโหย ครูเอมนึกดีใจที่รู้สึกว่าเจ้ากาแฟเริ่มคุ้นเคยกับเธอ ต่างจากคราวแรกที่เข้ามาที่นี่ แต่แล้วครูเอมก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างแปลกออกไป
แม่ของยีซานเคยบอกว่าช่วงนี้ตนเองเหมือนเป็นคนเฝ้าสวนยาง ออกไปไหนไม่ได้ เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่กับลูกสาว รวมถึงหลานที่ยังแบเบาะ แต่วันนี้กระท่อมสังกะสีกลับเงียบเชียบเงียบงัน กระเป๋าย่ามใบใหญ่ที่เคยห้อยไว้บนราวไม้ไผ่ตรงนั้นก็หายไป
[9]
เช้าวันเสาร์ ครูเอมไปบ้านของยีซานอีกครั้ง หลังจากไปคราวก่อนแล้วไม่พบใคร ครูเอมตั้งใจจะไปพูดคุยเรื่องการขาดเรียนของยีซาน เพราะหลังจากประชุมผู้ปกครองวันนั้น ไม่มีใครเห็นยีซานไปโรงเรียนอีกเลย
ครูเอมจอดรถใต้ร่มมะม่วงหน้าบ้านของยีซาน บรรยากาศยังคงเงียบงัน ดูเหมือนครั้งนี้เงียบงันไปถึงก้นบึ้งของหัวใจครูประจำชั้นประถมปีที่ 6
ครูเอมร้องเรียกชื่อเจ้าหมาสีดำ พร้อมกวาดสายตามองหาไปทั่วสวน
“กาแฟ” ครูเอมส่งเสียงเรียกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เสียงของเธอพร่าสั่น ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างหลุดหายเข้าไปในหลุมดำที่ไร้การตอบกลับใด ๆ แม้แต่เจ้ากาแฟ
ครูเอมก้มหน้าเดินกลับมาที่รถ ปรากฏเห็นรอยล้อรถมอเตอร์ไซค์บนพื้นดินทรายใต้ต้นมะม่วง ครูเอมใจชื้นขึ้นในทันที เป็นรอยใหม่หมาดซึ่งบ่งบอกว่ายังมีการเข้าออกของคนที่บ้านหลังนี้
แต่แล้วความหวังสุดท้ายของครูเอมก็สูญสลายไป
ครูเอมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครอบครัวนี้มีรถซาเล้งอยู่เพียงคันเดียว
[10]
เดือนมีนาคม ยางพาราทั้งป่าเปลี่ยนใบเป็นสีเหลืองส้มอมน้ำตาล ฤดูกาลพัดพาใบยางพาราหลุดร่วงลงสู่พื้น ใต้แสงไฟในห้องวิชาการของโรงเรียนขยายโอกาสกลางหุบเขา สายลมของมีนาคมหนาวยะเยือกผิดไปจากทุกครั้ง
ครูเอมเปิดทีวีกลางห้องเป็นเพื่อนเพื่อทลายความเงียบงัน ข่าวการสู้รบและการอพยพของประเทศเพื่อนบ้านทวีความรุนแรงขึ้นทุกที แต่ครั้งนี้สถานการณ์การสู้รบต่างจากทุกครั้ง เพราะชนกลุ่มน้อยและแนวร่วมชาติพันธุ์เป็นฝ่ายรุกรบตีโต้รัฐบาล ทารกน้อยในเปลคนนั้นผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ครูเอมหยิบรีโมทกดปิดทีวี แล้วหยิบสมุดการบ้านเล่มหนึ่งซึ่งเก็บมาจากใต้ช่องโต๊ะตัวสุดท้าย
เป็นการบ้านที่ครูเคยมอบหมาย บนหน้ากระดาษเขียนข้อความด้วยตัวบรรจงว่า “ต่างสัญชาติ”
ไม่ปรากฏตัวหนังสือใด ๆ ในเรียงความเรื่องนั้น
นอกจากภาพวาดของนักเรียนหญิงและนักเรียนชายเต็มไปทั้งหน้ากระดาษ ในภาพเป็นโรงอาหาร บางคนยกหม้อ บางคนชูทัพพี บางคนกำลังตักอาหาร บางคนหั่นผัก ที่มุมซ้ายมีภาพซึ่งวาดไว้ใหญ่กว่าภาพอื่น ๆ เด็กชายสองคนนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันเตี้ย คนตัวโตกว่าข้างหลังกำลังนั่งเกาะถังแก๊ส ข้าง ๆ กันมีหญิงสาวกระโปรงบานกำลังยืนเท้าสะเอว มุมขวามีภาพลูกหมูขาชี้ที่กำลังติดอยู่ในซอกระหว่างต้นมะม่วงหิมพานต์ คนในภาพวาดนั้นมีจำนวนเท่ากันกับสมาชิกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ใต้หัวข้อตัวบรรจง “ต่างสัญชาติ” มีภาพวาดธงชาติอยู่ด้านหลังอีกที นอกจากธงสาม สีที่คุ้นตายังมีธงแดงอีกผืน ข้างในเป็นลายรูปหงส์สีทองปลิวไสวอยู่ใกล้ ๆ กัน
ผู้เขียน
รสสุคนธ์ สารทอง
ป้ายกำกับ รสสุคนธ์ สารทอง ไม่ปรากฏตัวหนังสือใด ๆ ในเรียงความเรื่องนั้น เรื่องสั้น