บ้านท่าม่วงด้นไปกับกระแสน้ำชีที่เปลี่ยนแปลงไป
“มโนราห์นี่น่ะหรือที่เขาลือว่าเรือท่าม่วง ขอเชิญพี่น้องทั้งปวง โปรดจงจำไว้ให้ดี
เรือวิ่งไม่ต้องบอกใคร ไฉไลก็ปานเทพี เทียบท่าก็สวยดี ในลำน้ำชีไม่มีใคร ที่จะไฉไลเท่ามโนราห์”
เพลงมโนราห์ท่าม่วง ประพันธ์คำร้องโดย เกียรติ สุทธิประภา และให้ทำนองโดย ฉลาด ไชยสิงห์ เป็นเพลงที่ชาวบ้านท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ชุมชนเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำชีตั้งใจแต่งขึ้นมาเพื่อจะบอกเล่าถึงเรื่องราวอัตลักษณ์เรือยาวที่มีความสำคัญกับวิถีชุมชนของผู้คนกับสายน้ำ ที่ผูกพันกันมาอย่างยาวนาน เป็นสิ่งยืนยันอีกเสียงว่าชาวบ้านท่าม่วงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแม่น้ำชีทั้งในทางวิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ และวัฒนธรรม
มโนราห์ท่าม่วง เรือแห่งจิตวิญญาณและสายน้ำชี
บ้านท่าม่วง ริมฝั่งชี หมุดหมายใหม่ของชาวลาวอพยพ
บ้านท่าม่วงเป็นเพียงจุดเล็กๆ หากเทียบกับความยาวของแม่น้ำชี ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ไหลผ่านหลายจังหวัดด้วยกัน คือ ชัยภูมิ นครราชสีมา ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ซึ่งมีลำน้ำสาขาด้วยกันหลักๆ ห้าลำน้ำ คือ ลำน้ำพรม ลำน้ำพอง ลำน้ำเซิน ลำน้ำปาว และลำน้ำยัง ถือได้ว่าเป็นแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ในอีสานเลยก็ว่าได้
แม่น้ำชีจึงเต็มไปด้วยอาหาร ความมีชีวิตชีวาของผู้คน รวมถึงสังคมและวัฒนธรรมที่ถือกำเนิดจากแม่น้ำสายยาวสายนี้ ชาวบ้านท่าม่วงเองก็ถือเป็นหนึ่งชุมชนที่มีความผูกพันกับแม่น้ำชีทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ บรรพบุรุษของพวกเขามีการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาจากแขวงเมืองเวียงจันทน์ ประเทศสปป.ลาว โดยผู้นำในการโยกย้ายหาที่ทางใหม่นี้คือ “ตาสุทธิ์” และ “ยายบัปภา” จึงเป็นที่มาของสายตระกูลสุทธิประภา ที่เป็นนามสกุลของผู้คนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านท่าม่วงในปัจจุบัน
ในวัฒนธรรมลาว อีสานเรียกการหาแหล่งที่อยู่ใหม่นี้ว่า “บ้านใหม่” หมายถึงการเสาะแสวงหาถิ่นที่ตั้งบ้าน ตั้งเมืองใหม่เพื่อความอุดมสมบูรณ์ที่ดีกว่าเดิม กล่าวคือบรรพชนรุ่นก่อนเดินทางมาถึงบริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำชี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เห็นว่าเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์จึงเลือกที่จะตั้งถิ่นฐานและใช้นามว่าบ้านท่าม่วง
จากตำนานในท้องถิ่นกล่าวว่า ที่ได้ใช้ชื่อนี้เนื่องจากท่าอาบน้ำมีต้นมะม่วงขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ดินแดนที่ตั้งใจจะมาฝากฝังรกรากใหม่กันในเขตพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งแรกนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง จึงมีการตัดสินใจโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำชีในช่วง พ.ศ. 2110 บนเนื้อที่ประมาณ 28 ไร่ ที่มีลักษณะที่ตั้งเป็นโนนน้ำท่วมไม่ถึง ชาวท่าม่วงจึงได้สร้างบ้านแปงเมืองอยู่ ณ บริเวณแห่งนี้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนมีความผูกพันกับสายน้ำชีในหลากมิติ ทั้งความเชื่อ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม
เรือลำน้อยของพรานปลาแม่น้ำชี
ผู้คนกับสายน้ำชี
แม่น้ำชีคดเคี้ยวเลี้ยวลดกินพื้นที่หลายจังหวัด ลากยาวกว่า 700 กิโลเมตร เป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องชาวอีสานมาตั้งแต่บรรพชน อิ่มท้องและชุ่มฉ่ำ ชุกชุมไปด้วยปลานานาชนิดที่แหวกว่ายท้าทายกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ผู้คนในบริเวณนี้จึงเป็นพรานปลาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจับปลานานาวิธีที่แตกต่างกันไป เช่น บางคนถนัดทอดแห บางคนถนัดยกยอ หรือบางคนถนัดใช้เบ็ดในการจับปลา แต่สิ่งที่เห็นอยู่อย่างไม่ขาดสายคือเรือลำน้อยแล่นผ่านทั้งที่เป็นเรือแจว และเรือที่ใช้เครื่องยนต์ ผ่านไปมาตลอดทั้งวัน
“ชีวิตคนน้ำชีกับการหาปลาทั้งได้อยู่ ได้กิน เหลือกินก็ได้ขาย และยังใช้น้ำไปปลูกพืชผักสวนครัวการเกษตรอีก”
คำกล่าวของศักดิ์สิทธิ์ ไชยยา อายุ 69 ปี เจ้าของบ้านพักริมแม่น้ำชี ผู้ที่เกิดและเติบโตใกล้ชิดกับแม่น้ำชี
แม้ว่ากว่าครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้จะได้ถอยห่างจากรากเดิมเข้าไปทำงานกรุงเทพฯ ก่อนจะกลับมาสู่พื้นที่แห่งชีวิตในวัยเด็กที่ล่วงเลยมานาน การกลับบ้านของศักดิ์สิทธิ์ หลังปีน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2554 เขาอยากกลับมาสร้างชีวิตชีวาใหม่ให้กับบ้านเกิด และครอบครัว ด้วยการทำโฮมสเตย์สำหรับรับแขกบ้านแขกเมืองที่ต้องการพักผ่อน รวมถึงฟื้นฟูและเยียวยาจิตใจจากความต้องไกลบ้านมาหลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันจึงมีกิจกรรมอยู่ริมแม่น้ำ คือการทำยอสำหรับหาปลา และปลูกพืชผักสวนครัวริมตลิ่งที่ชันขึ้นทุกวัน
แม่น้ำชีไม่เพียงให้ข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้านท่าม่วงเท่านั้น แต่ยังก่อกำเนิดประเพณีการละเล่นต่างๆ ของชาวบ้านผู้ใกล้ชิดลำน้ำสายยาวสายนี้ ที่ใช้มิติความเชื่อเชื่อมโยงผู้คน แม่น้ำ และอำนาจเหนือธรรมชาติให้อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ
“ช่วงน้ำหลากน้ำจะขึ้นถึงป่าไผ่เลย น้ำไหลแรงมาก ดูเหมือนจะน่ากลัว แต่คนลุ่มน้ำชีไม่กลัวน้ำ ในมิติ
ความเชื่อ ช่วงออกพรรษามีการไหลเรือไฟ”
คำสำคัญจากปากคำของครูฉลาด ไชยสิงห์ ข้าราชการบำนาญที่อุทิศชีวิตและจิตวิญญาณรักบ้านเกิดทำงานด้านข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้านท่าม่วง ที่กล่าวว่า “คนลุ่มน้ำชีไม่กลัวน้ำ” น่าสนใจยิ่งนัก มันสะท้อนถึงความรู้ที่ชาวบ้านมีเกี่ยวกับแม่น้ำ ที่พวกเขาผูกพันในทุกมิติ ทั้งชีวิต ความเป็นอยู่ สังคม และวัฒนธรรม อยู่กับน้ำ เข้าใจน้ำ และให้ความเคารพกับสายน้ำ
ในอดีตหมู่บ้านที่ติดลำน้ำชีมีประเพณีการแข่งเรือยาวแทบจะทุกหมู่บ้านในช่วงเทศกาลออกพรรษา บ้านท่าม่วงเองก็เช่นกัน แต่ต้องมาหยุดไปเมื่อ พ.ศ. 2535 เนื่องจากสังคมเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีฝีพายในการแข่งขันมากพอ ปัจจุบันจึงมีการเก็บรักษาเรือของหมูบ้านไว้ให้เห็นอยู่สองลำคือเรือที่ชื่อนางสาวคำเครือ ปัจจุบันจัดวางอยู่บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลท่าม่วง และอีกหนึ่งลำที่สำคัญคือเรือนางสาวมโนราห์ เป็นเรือลำสุดท้ายก่อนประเพณีแข่งเรือยาวจะยกเลิกไป
เรือนางสาวมโนราห์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าประจำบ้านท่าม่วง ปัจจุบันถูกจัดแสดง ณ วัดท่าม่วง นอกจากจะเป็นสิ่งแสดงออกถึงความผูกพันกับสายน้ำชีของชาวบ้านแล้ว ยังเป็นมรดกวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวบ้าน ซึ่งพระครูโสภณธรรมากร เจ้าอาวาสวัดท่าม่วง ร่วมมือกับชาวบ้าน ในการเดินทางไปตัดต้นตะเคียนจากห้วยอ่างสีทน - มโนราห์บ้านปากช่อง ตำบลนาดี อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ดมาสร้างเรือลำดังกล่าว มีการใช้ช่างขุดเรือจากบ้านโคกโก่งคำพระ อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด จนสำเร็จใน พ.ศ. 2516 ขนาดความยาวของลำเรือหัวท้าย 37เมตร และใช้จำนวนฝีพายทั้ง 47 คน
ในอดีตเรือลำนี้นับว่าเป็นเรือยาวที่แล่นได้เร็วที่สุดในลำน้ำชี โดยอ้างอิงจากรางวัลชนะเลิศถ้วยทองมาจากหลายสนาม จนเป็นที่เลื่องลือในลุ่มน้ำชีและรู้จักกันดีในนามมโนราห์ท่าม่วง ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้านท่าม่วง เพราะการแข่งขันเรือยาวหัวใจหลักนั้นคือความสามัคคี
ปัจจุบันแม้ว่าการแข่งขันเรือยาวจะกลายเป็นเพียงความภูมิใจในอดีตที่สวยงามของชาวบ้านท่าม่วงไปแล้ว แต่ชีวิตวัฒนธรรมที่อยู่คู่สายน้ำยังเหลือให้เห็นผ่านการไหลเรือไฟในช่วงงานออกพรรษาที่ชาวบ้านยังคงทำขึ้นทุกปี เพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทำให้ชาวบ้านมีกิจกรรมทางสังคมร่วมกันอย่างไม่ขาดสาย เหมือนสายน้ำชีที่ไม่แห้งขอด แม้ว่ากระแสน้ำจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ชาวบ้านรู้จัก
อิ่มท้องและอบอุ่นบนสายธารแห่งชีวิต
กระแสน้ำชีที่ผันแปร
“เดินดีๆ นะน้ำมันลึก 2 เมตร” คำเตือนของอาจารย์ฉลาดในฐานะเจ้าถิ่นเตือนผู้เขียนซึ่งเป็นคนนอกพื้นที่ที่ไม่ได้เข้าใจสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย หรือบางทีแม้แต่คนในพื้นที่บางคนก็อาจจะไม่รู้จักแม่น้ำเลยเช่นกันก็เป็นได้ เพราะแม่น้ำชีปัจจุบันกับแม่น้ำชีในอดีตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม่น้ำชีในความทรงจำของผู้คนเก่าแก่ในหมู่บ้านเป็นแม่น้ำที่ให้ข้าวปลาอาหาร ให้ชีวิตชีวาและจิตวิญญาณ กล่าวได้ว่าให้ทั้ง “อิ่มและอุ่น” ราวกับอกมารดา ที่ไม่ใช่เป็นเพียงทรัพยากรธรรมชาติสำหรับใช้สอยเท่านั้น เดิมในอดีตคนทั้งหมู่บ้านได้อาบ ใช้เล่นได้ด้วย แม่น้ำชีจึงเป็นเสมือนสนามเด็กเล่นในความทรงจำของผู้คนที่ปัจจุบันเมื่อมีการจัดการโดยหน่วยงานรัฐทำให้ผู้คนในหมู่บ้านทั้งวัยเด็ก วัยหนุ่มสาวและคนแก่ค่อยๆ ห่างเหินจากวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ออกไปทุกที
ยกยอป.ปลา
“ก่อนเขาจะมาม้าง (ทำลาย) ป่า ปลามีหลายคัก”
ศักดิ์สิทธิ์ ไชยยา กล่าวพลางกับทำการยกยอที่กำลังดักจับปลาอยู่ ซึ่งในยอมีปลาเล็กปลาน้อยที่กำลังแดดิ้นบนตาข่ายกระแสแดดระยิบระยับในแม่น้ำชี ชาวบ้านเล่าให้เห็นถึงบรรยากาศก่อนมีฝายที่ปลาในแม่น้ำบริเวณบ้านท่าม่วงมีปริมาณเยอะกว่านี้ และหากินได้ง่ายกว่า ก่อนจะมีการขุดลอกครั้งยิ่งใหญ่เมื่อราว พ.ศ. 2562 ทำให้น้ำลึกและตลิ่งชัน รวมถึงพืชบริเวณริมตลิ่งหายไป เหลือเพียงหน้าดินเปลือยเปล่าริมแม่น้ำชี
ป่าและพืชหน้าดินริมแม่น้ำที่หายไปส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยของปลา ซึ่งเมื่อก่อนมีต้นนอดแนด ต้นหัน ต้นทุ่มซึ่งพืชเหล่านี้เป็นพืชทนน้ำสามารถอยู่ในช่วงที่มีน้ำท่วมสูงได้ และการมีพืชเหล่านี้จะช่วยทำให้หน้าดินแข็งแรงไม่พังทลายแบบที่เห็นในปัจจุบัน ภายหลังที่รัฐมาขยายแล้วขุดลอก รวมถึงสร้างฝายกั้นน้ำขนาดเล็กทุกๆ 57กิโลเมตรเพื่อชะลอน้ำ ในช่วงการทำโครงการนั้นมีการทำประชาคมซึ่งมีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนรับฟังความเห็นจากชาวบ้าน แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงๆ กลับสวนทางกับที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งชาวบ้านท่าม่วงได้เล่าว่ารัฐมีการเจรจาตกลงกับชาวบ้านว่าจะมีการขุดดินบริเวณกลางน้ำ และจะนำดินที่ขุดขึ้นมาไปไว้ที่อื่นๆ แต่ในความเป็นจริงคือขุดใกล้กับตลิ่ง ทำให้น้ำมีความลึกกว่าสองเมตร และทิ้งดินไว้ริมตลิ่ง กลายเป็นว่าทำให้แม่น้ำชีบริเวณท่าม่วงมีความลึกชันไม่สามารถลงไปเล่นน้ำได้เลย ซึ่งต่างจากในอดีตที่มีความลาดเอียงตามธรรมชาติ มีจุดที่ลึกและตื้นตามลำดับ
เหรียญมักมีสองด้านเสมอ โครงการทำเหมืองฝายที่ชาวบ้านบอกเล่าข้างต้นก็ยังมีอีกมุมที่เป็นประโยชน์สำหรับชาวท่าม่วง เสียงซู่ๆ ที่ดังต่อเนื่องตลอดทั้งวันทั้งคืนคือเสียงน้ำที่กระโจนผ่านฝายขนาดเล็กสำหรับการชะลออันเป็นผลผลิตของโครงการที่รัฐจัดทำขึ้นมา ในแง่หนึ่งฝายนั้นก็เปลี่ยนทิศทางและกระแสน้ำจากในอดีต ทำให้น้ำไหลบ่ารุนแรงขึ้นกว่าเดิมในช่วงน้ำมาก แต่ในฤดูแล้งจุดดังกล่าวกลายมาเป็นแหล่งจับปลาสำคัญที่ชาวบ้านต่อคิวเข้าแถวกันช้อนปลา เนื่องจากเป็นจุดที่มีน้ำมาก และปลาชุกชุมจุดเดียวในบริเวณใกล้เคียง
“หมู่บ้านนี้อุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่มีอด นาปรังก็ได้ทำ นาปีก็ได้ทำ แม่น้ำชีมีปลาตลอดปี”
ความอุดมสมบูรณ์ของบ้านท่าม่วงจากคำบอกเล่าของครูฉลาดช่างเป็นสิ่งที่ถือว่าโชคดี และเป็นความภูมิใจของคนในหมู่บ้านนี้ที่บรรพบุรุษเลือกสรรถือครองพื้นที่ในการตั้งรกรากได้อย่างชาญฉลาด แม้ว่าจะมีบางบ้านที่ยามน้ำหลากจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมบ้างก็ตาม
ไม่เพียงแม่น้ำชีเท่านั้นเป็นแหล่งอาหารสำคัญ แม้คำบอกเล่าจากชาวบ้านท่าม่วงจะกล่าวกันว่าในอดีตก่อนมีการจัดการแม่น้ำชีครั้งสำคัญมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่านี้หลายเท่า แต่ชาวบ้านก็มีที่ทำกินที่ได้ก่อเกิดขึ้นหลังการทำเหมืองฝายในหมู่บ้าน
“ตุ้ม” ในหนองกระตึบ
“ปลามีทั้งสองแก่ง สองฝาย มีคลองสามคลอง และในอ่างเก็บน้ำก็มีปลาตลอดปี”
ครูฉลาดเล่าต่อถึงแหล่งอาหารอื่นๆ ที่ทำให้ชาวบ้านท่าม่วงสามารถทำมาหากินได้ตลอดทั้งปี นั่นคือผลพวงของการจัดการทรัพยากรต่างๆ ของรัฐตั้งแต่ช่วงโครงการอีสานเขียวในทศวรรษ 2530 ทำให้บ้านท่าม่วงมีแก่ง มีฝายไว้จับปลานอกเหนือจากในแม่น้ำชี แหล่งหนึ่งที่สำคัญคือห้วยกระตึบ มีลักษณะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่ตอนหลังมีการจัดการทำฝายกั้นน้ำ ทำให้ส่วนหนึ่งของทางน้ำที่ต่อกับแม่น้ำชียามหน้าแล้งแยกขาดจากกัน
ในห้วยกระตึบเป็นหนองน้ำกว้าง ปกคลุมไปด้วยกอบัวและตอไม้ต่างๆ พาหนะในการจับปลาจึงต้องใช้เรือแจวขนาดเล็ก เพื่อสะดวกต่อการลัดเลาะ การหาปลาในห้วยกระตึบนั้นใช้วิธีการต่างจากที่เห็นชาวบ้านนิยมใช้ในแม่น้ำชี คือมีการจับปลาโดยใช้ตุ้มดักปลา และปลาที่ได้ส่วนใหญ่เป็นปลาสร้อยตัวเล็กๆ นิยมทำปลาแดดเดียว ปลาส้ม และปลาร้า แต่หากเป็นปลาตัวใหญ่ที่ได้ในแม่น้ำชีนิยมขายสดๆ ในตลาด หรือบางเจ้าสามารถนำส่งไกลถึงกรุงเทพฯ เลยก็มี
เห็นได้ว่าแม้ทิศทางของกระแสน้ำจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ชาวบ้านผู้อยู่กับพื้นที่ก็ย่อมต้องยอมรับและหาหนทางปรับตัวกับทรัพยากรธรรมชาติที่เริ่มเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการประชาพิจารณ์ไม่ได้ส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของชาวบ้านอย่างแท้จริง สิ่งที่พวกเขาทำได้คือการปรับตัวเข้าหาวิถีชีวิตแบบใหม่ การปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชาวบ้านท่าม่วงนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป พวกเขาพยายามมองหาสิ่งที่จะสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองโดยเฉพาะเรื่องปากท้อง
พ่อบ้านหาแม่บ้านหุง
ปลาส้มสินค้าชุมชนมรดกวัฒนธรรมอาหาร
“ปลาส้มที่นี่เด็ด เป็นของที่ต้องซื้อไปฝากคนทางไกลเลย”
คำกล่าวจากกลุ่มแม่บ้านผู้ผลิตปลาส้มจำหน่ายที่บ้านท่าม่วง สูตรการทำปลาส้มที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น กรรมวิธีการถนอมหรือการปรุงแต่งรสชาติของปลาเหล่านี้เกิดจากความเข้าใจถึงรสแท้ของอาหารที่มีในท้องถิ่น ถือเป็นภูมิปัญญาที่ชาวบ้านภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง
สุภลักษณ์ สุทธิประภา และมะลิวัลย์ ไชยยา ตัวแทนกลุ่มแม่บ้านบ้านท่าม่วงที่นำเคล็ดลับการทำปลาส้มมาถ่ายทอดให้ผู้เขียนได้ทราบ เคล็ดลับดังกล่าวคือการทำส้มปลาสร้อยต้องให้ปลาสดตลอด สิ่งที่พวกเขาทำคือการแช่น้ำแข็งในขณะที่ทำความสะอาดปลา
สุภลักษณ์ สุทธิประภากล่าวว่า “สมัยก่อนไม่มีน้ำแข็งต้องแช่เกลือให้ปลาตัวแข็งและเนื้อแน่น” จากนั้นนำมาล้างน้ำซาวข้าวครึ่งชั่วโมง ต่อด้วยการพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
ขั้นตอนสำคัญต่อจากนี้คือหัวใจหลักของการทำปลาส้ม สองมือของแม่บ้านบรรจงคั้นปลาอย่างเป็นจังหวะ เขาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจนเนื้อปลาได้ที่แล้วค่อยเติมแต่งรสชาติตามที่ต้องการ สมัยอดีตการปรุงรสเป็นการตวงหรือกะเกณฑ์ปริมาณเครื่อง แต่ในปัจจุบันมีการชั่งเครื่องปรุงเพื่อให้มีมาตรฐานมากขึ้น และได้รสชาติที่นิ่ง มั่นคงขึ้น
วัตถุดิบการทำปลาส้มนั้นหาง่ายในท้องถิ่น มีกระเทียม เกลือ ข้าวเหนียว มีเพียงกระเทียมเท่านั้นที่เป็นปัจจัยหลักของการกำหนดราคาปลาส้มในแต่ละรอบ เนื่องจากเป็นของนำเข้าจากแหล่งอื่น ส่วนเกลือในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นแหล่งทำเกลืออยู่แล้ว และปลาที่เป็นหัวใจสำคัญนั้นยิ่งหาได้ง่ายมากกว่า มะลิวัลย์ ไชยยา กล่าวว่า “ราคาขายขึ้นอยู่กับราคากระเทียม เพราะปลาไม่ต้องคิดมาก เป็นของที่หาเองได้”
ปลาส้มเป็นของที่ชาวบ้านท่าม่วงทำกินกันเองในวิถีชีวิตประจำวัน จนวิชาความรู้ด้านนี้ตกผลึกสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพประจำให้ชาวบ้านบางคนได้ กรณีเช่นร้านดังในตลาดธวัชบุรีที่ห่างไกลบ้านท่าม่วงเพียงแค่ลำน้ำชีกั้นขวาง แม้จะขึ้นอยู่คนละอำเภอก็ตาม
ปลาส้มยายตุ่น ของฝากอันอบอุ่นจากบ้านท่าม่วง
ปลาส้มยายตุ่นมีจำหน่ายหลายชนิด ได้แก่ ปลาส้มปลาจีน ปลาส้มปลาตะเพียน ปลาส้มแผ่น หม่ำไข่ปลา หม่ำไส้ปลา ถือเป็นของฝากประจำถิ่นที่แขกไปใครมาจำต้องนึกถึง แม้การทำปลาส้มให้เป็นอาชีพที่ต้องขายทุกวันจะต้องเป็นปลาตัวใหญ่ ขนาดมีมาตรฐาน จึงปรับเปลี่ยนมาทำปลาส้มโดยใช้ปลาจากฟาร์ม แต่สิ่งที่เห็นจากปลาส้มยายตุ่นคือวิชาความรู้ที่สืบทอดในชุมชนที่เป็นแหล่งปลาชุกชุมจึงทำให้มรดกวัฒนธรรมการทำปลาส้มกลายเป็นคัมภีร์ทำมาหากินของคนรุ่นต่อมา
ไม่เพียงแต่สินค้าหน้าร้านที่กลายเป็นของขึ้นชื่อที่ใครๆ ต่างถามถึง กลุ่มแม่บ้านในชุมชนที่ไม่ได้ทำปลาส้มในปริมาณที่มากต่อวันยังมีการประชาสัมพันธ์สินค้า และมีการขายปลาส้มผ่านทางช่องทางออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก หรือไลน์
“ปั้นเป็นก้อนๆ ละ10 บาท หาปลาได้ค่อยทำ”
คำบอกเล่าของสุภลักษณ์ สุทธิประภา และมะลิวัลย์ ไชยยา ผู้เป็นแม่บ้านยุคใหม่ที่เรียนรู้และสามารถใช้เทคโนโลยีได้ดี หมั่นนำเสนอตัวตนลงในสื่อออนไลน์ทำให้มียอดขายปลาส้มต่อเนื่องในปัจจุบัน แต่เงื่อนไขคือวันใดที่สามีของพวกเขาหาปลาได้จึงจะสามารถผลิตปลาส้ม แปรรูปส่งต่อให้ลูกค้าได้วิธีการคือรับจอง จากนั้นทำส่งไปรษณีย์ โดยขายกระปุกละ 120 บาท แล้วส่งต่อภาระค่าส่งของให้คนซื้อจ่ายค่าขนส่งเอง
จะเห็นได้ว่าการทำปลาส้มของสองร้านกรณีในบ้านท่าม่วงมีความแตกต่างกัน ปลาส้มที่ขายประจำในตลาดต้องการที่จะควบคุมการผลิตให้ได้ขนาดที่ต้องการ และสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะยึดถืออาชีพนี้เป็นอาชีพประจำไปแล้ว แตกต่างจากการขายปลาส้มออนไลน์ที่ยังคงกรรมวิธีการทำปลาส้มอย่างโบราณอยู่ คือทำจากปลาตัวเล็กแล้วคั้น แต่ทั้งสองสิ่งนี้คือมรดกตกทอดจากการมีวิถีชีวิตใกล้แหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ทั้งปี แม่น้ำชีจึงไม่ใช่แค่แหล่งหาอาหาร แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดวิธีการถนอมอาหาร และการปรุงอาหารที่ชาวบ้านแต่ละยุคสมัยค่อยๆ เรียนรู้และปรับใช้ตามแบบฉบับของตนเอง
ด้นชีวิตริมฝั่งน้ำชี
แม่น้ำชีถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาวบ้านท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด มาตั้งแต่บรรพบุรุษ แม้จะมีเหตุให้ต้องโยกย้ายปรับเปลี่ยนถิ่นฐานที่ตั้งบ้านเรือน แต่บรรพบุรุษบ้านท่าม่วงยังคงยึดเกาะแม่น้ำชีอิงอาศัยแม่น้ำชีในฐานะ “บ้าน”
การปรับเปลี่ยนเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่นอยู่แล้วจึงเป็นศักยภาพหนึ่งของผู้คนที่ต้องพยายามเรียนรู้ และเข้าใจกับธรรมชาติและสิ่งรอบตัวเองใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ แม้ว่าทิศทางและกระแสน้ำของแม่น้ำชีจะเปลี่ยนแปลงไปแต่ชาวบ้านยังมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงที่จะอยู่กับพื้นที่ทางกายภาพที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยรู้จัก
ฝายน้ำล้นที่กั้นขวางระหว่างกลางแม่น้ำชีในบริเวณหมู่บ้านเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงกระบวนการทำมาหากินใหม่ๆ การต่อคิวหาปลาที่ไม่เคยมีมาก่อนกลับเกิดขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขทางสังคมและธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป เห็นได้ว่าชาวบ้านมีทักษะการใช้ชีวิตคิดหาวิธีการความรู้เทคนิคและศักยภาพของชุมชนที่มีอยู่เพื่อปรับตัวเข้าหาระบบนิเวศที่มันเปลี่ยนแปลงไป สิ่งนี้คือความน่าสนใจของชาวบ้านท่าม่วงที่พลิกตัวรู้เท่าทันปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมใช้ความรู้ชุดเก่าทำงานร่วมกับความเปลี่ยนแปลงของลำน้ำชีได้เป็นอย่างดีน้ำชีสร้างชีวิตใหม่บนวิถีการด้นชีวิตของชาวบ้านท่าม่วง
ด้นชีวิตมาขายปลาส้มออนไลน์
เรื่อง / ภาพ จารุวรรณ ด้วงคำจันทร์
สัมภาษณ์
ศักดิ์สิทธิ ไชยยา
สุภลักษณ์ สุทธิประภา
มะลิวัลย์ ไชยยา
ป้ายกำกับ ท่าม่วง แม่น้ำชี ร้อยเอ็ด ปลาส้ม อัตลักษณ์ สารคดีชุมชน จารุวรรณ ด้วงคาจันทร์