หัวใจในโลกที่ไร้หัวใจ
ศาสนาคือเสียงทอดถอนใจของชีวิตที่ถูกกดขี่ คือหัวใจในโลกที่ไร้หัวใจ
คือจิตวิญญาณของสภาวะที่ไร้จิตวิญญาณ ศาสนาคือยาฝิ่นสำหรับผู้คน
- Karl Marx (1844)
บทนำ: หัวใจในโลกที่ไร้หัวใจ
โยบ (Job) เป็นชายผู้มั่งคั่ง มีครอบครัวใหญ่และจิตใจเมตตา เขามักช่วยเหลือผู้ยากไร้ เด็กกำพร้า และหญิงม่าย โยบใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ศรัทธาที่เคารพเทิดทูนพระยะโฮวา ซึ่งพระองค์ก็ยกย่องโยบว่าเป็นเป็นคนดีและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลีกหนีความชั่วร้าย แต่วันหนึ่งซาตานก็แย้งว่า เพราะพระเจ้าอวยพรโยบให้มีชีวิตที่เพียบพร้อม เขาจึงยำเกรงและสรรเสริญพระองค์ หากต้องสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ โยบก็จะหันมาสาปแช่ง
พระเจ้าจึงอนุญาตให้ซาตานทดสอบโยบ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามพรากชีวิต แล้วบททดสอบอันโหดร้ายก็เริ่มขึ้น แรกสุดมีกองโจรมาขโมยวัว ลา และอูฐของโยบไปจนหมด มีไฟหล่นลงมาจากท้องฟ้าเผาฝูงแกะจนมอดไหม้ คนรับใช้ที่คอยดูแลฝูงสัตว์ก็ถูกสังหารสิ้น ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่ลูก ๆ ของโยบกำลังกินอาหารอยู่ ก็มีลมพายุพัดมาทำให้บ้านพัง ถล่มลงมาทับลูกของเขาจนตายเกลี้ยง
โยบใจสลาย ร่ำไห้ ฉีกทึ้งเสื้อผ้าอาภรณ์ทิ้ง โกนหัว และทรุดลงกับพื้น แต่เขาก็ไม่ได้เลิกนับถือพระเจ้า โยบยังเชื่อว่า เขาเกิดจากครรภ์มารดาตัวเปล่า ทรัพย์สินที่เขาครอบครองเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อพระองค์ประสงค์จะเอากลับคืน เขาก็จะยอมน้อมรับ
ซาตานยังไม่หยุดแค่นั้น เสกให้โยบเป็นฝีร้ายทั้งตัว ตั้งแต่เท้าจรดศีรษะ ต้องเอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัว โยบเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งกายและใจ ภรรยาตำหนิโยบว่า ถึงขั้นนี้แล้วยังจะศรัทธาอยู่อีกหรือ ทำไมไม่สาปแช่งพระเจ้าแล้วก็เลือกความตาย ซึ่งน่าจะทรมานน้อยกว่า แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องร้ายเหล่านี้ และเหตุใดเรื่องเหล่านี้จึงต้องเกิดขึ้นกับเขา เพราะเขาไม่ได้ทำผิดบาปอะไร โยบก็เตือนภรรยาว่า เราไม่สามารถเลือกรับแต่สิ่งดี ๆ จากพระเจ้า โดยไม่รับสิ่งที่ไม่ดีได้
เมื่อสหายทั้ง 3 ของโยบทราบข่าว จึงเดินทางมาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ทั้งสามร่ำไห้ ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตน และเอาผงดินทาตัว พวกเขานั่งบนพื้นกับโยบ 7 วัน 7 คืน ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรสักคำ เพราะเห็นว่าความทุกข์ของโยบนั้นหนักหนา ในที่สุด โยบก็เริ่มพูด เขาสาปแช่งวันเกิดของตนเองว่า เขาไม่ควรเกิดมาเลย เพราะเกิดมาก็เจอแต่ความทุกข์ระทม เพื่อนคนแรก กล่าวว่าโยบเป็นคนดี แต่ดันมาเจอความทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเพราะคนดีน่าจะพบแต่สิ่งที่ดี แสดงว่าโยบต้องทำบาปเอาไว้เป็นแน่ แต่เขายืนยันว่าไม่เคยทำ เพื่อนคนที่สองบอกให้เขาสำนึกผิด แต่โยบก็บอกว่าไม่ยุติธรรมเลย เขาไม่เคยทำผิด ไม่เคยลบหลู่พระเจ้าแม้สักครั้ง เหตุใดจึงต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ด้วยอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจ โยบเผลอตำหนิพระเจ้าว่า หากต้องการพรากทุกอย่างไปจากเขา ทำไมไม่พรากชีวิตไปเสียด้วย จะได้ไม่ต้องทรมานแบบนี้
ในที่สุด เสียงของพระเจ้าก็ลอยมาตามสายลม พระองค์ถามโยบว่า เจ้าดูหมิ่นพระองค์หรือ โยบผู้ศรัทธาก็บอกว่าไม่บังอาจ และกล่าวขออภัยที่เคลือบแคลงสงสัยจนศรัทธาโยกคลอน ผลสรุปคือพระเจ้าบอกว่าหากโยบยังศรัทธาก็ต้องยอมรับชะตากรรมเสีย เพราะพระเจ้ามีแผนการสำหรับทุกอย่าง มนุษย์ที่มีชีวิตจำกัดย่อมไม่อาจเข้าใจ เรื่องจบลงด้วยความสุข ในบั้นปลายพระเจ้าได้บันดาลให้โยบกลับมาครอบครองสิ่งที่เขาสูญเสียไป
เรื่องราวของโยบจากคัมภีร์พันธะสัญญาเดิมนี้ เป็นตัวอย่างที่ Michael Ignatieff (2021) ยกมาอธิบายเรื่องการปลอบประโลมใจ (console) ของมนุษย์ และอธิบายความทุกข์ที่มนุษย์ต้องเผชิญในชีวิต ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่หนึ่งของศาสนา โดยเฉพาะศาสนาเอกเทวนิยม ซึ่งเชื่อในพระเจ้าผู้ฤทธาและทรงสัพพัญญู ผู้ศรัทธาจึงจำเป็นต้องหาคำอธิบายว่า ปัญหาเรื่องความชั่วร้ายในโลกที่พระเจ้าผู้เปี่ยมเมตตาทรงเป็นผู้สร้าง (theodicy) และเหตุใดพระองค์จึงปล่อยให้คนดีต้องทนทุกข์ ในขณะที่คนเลวเจริญรุ่งเรือง
กล่าวได้ว่าข้อเสนอหลักของ Ignatieff คือ ในโลกในที่เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์แสวงหาสิ่งปลอบประโลมใจ และพลังที่สำคัญก็คือศาสนา
ศาสนาคือยาฝิ่น?
ในหนังสือเล่มเดียวกัน Ignatieff ยังกล่าวถึง Karl Marx เพื่อเปรียบเทียบระหว่างการปลอบประโลมใจมนุษย์ผ่านศาสนา และทางเลือกในการรับมือกับความทุกข์ที่ไม่ต้องการพึ่งพิงศาสนา
วลี “ศาสนาคือยาฝิ่น” อันโด่งดังของ Marx มักถูกหยิบยกมาเพียงบางท่อน และตัดทอนบริบท จนเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับมุมมองที่ Marx มีต่อศาสนา (กระทั่งกลายเป็นเครื่องมือปลุกปั่นความกลัวคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น) ทั้งที่เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือวิจารณ์ศาสนาอย่างผิวเผิน หากแต่ต้องการให้เข้าใจบทบาทของโครงสร้างสังคมผ่านศาสนา (McKinnon, 2005)
ในฐานะยุวเฮเกลเลียน (Young Hegelian) Marx เห็นด้วยกับ Ludwig Feuerbach ที่มองว่า พระเจ้าเป็นภาพฉายของคุณสมบัติในอุดมคติของมนุษย์ และศาสนาเป็นรูปแบบหนึ่งของความแปลกแยก (alienation) ที่มนุษย์ฉายความดี พลังอำนาจ และความรู้ของตนไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นข้อเสนอหลักในหนังสือ The Essence of Christianity แต่ Marx วิจารณ์ว่า Feuerbach มองมนุษย์อย่างนามธรรมเกินไป โดยละเลยบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ (Ignatieff, 2011)
สำหรับ Marx แล้ว Feuerbach ลืมตั้งคำถามว่า แล้วเหตุใดผู้คนจึงต้องสร้างภาพฉายดังกล่าวขึ้นมาตั้งแต่แรกเล่า? ในขณะที่ Feuerbach กล่าวถึงแก่นแท้ของมนุษย์ (human essence) แต่ Marx บอกว่า มนุษย์เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทางสังคมต่างหาก ไม่มีแก่นแท้ที่เป็นนามธรรมหรอก มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตนามธรรมที่อาศัยอยู่นอกโลก แต่มนุษย์อยู่ในโลก อยู่ในรัฐ และอยู่ในสังคม และการใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่กดขี่และเอารัดเอาเปรียบนี่เองที่ทำให้ศาสนามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ ในมุมนี้ ศาสนาจึงไม่ใช่ต้นตอของปัญหา แต่เป็นอาการที่สะท้อนความเจ็บป่วยทางสังคมหรือโครงสร้าง ดังนั้น เขาจึงตอกอย่างเจ็บแสบในข้อเสนอที่ 11 เกี่ยวกับ Feuerbach ว่า “ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ นักปรัชญาเอาแต่ตีความโลกไปต่าง ๆ นานา แต่ประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงมัน” (Marx, 1975)
เมื่อพิจารณาข้อความของ Marx เต็ม ๆ จะเห็นว่า ศาสนาคือเสียงทอดถอนใจของชีวิตที่ถูกกดขี่ และเป็นหัวใจในโลกที่ไร้หัวใจ กล่าวคือศาสนาหยิบยื่นความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ความเห็นอกเห็นใจ การปลอบประโลม และการชี้นำทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในโลกทุนนิยมอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม หรืออย่างน้อยก็ไม่ฟรี อย่างไรก็ดี แม้ Marx จะยอมรับบทบาทของศาสนาในการปลอบประโลมผู้คน แต่เขาก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ศาสนาปกปิดต้นตอที่แท้จริงของความทุกข์ (Ignatieff, 2011)
การเปรียบเปรยศาสนากับฝิ่นจึงไม่ได้หมายถึงการดูหมิ่นศาสนา แต่คือการบอกว่า ศาสนาทำหน้าที่เป็นเครื่องบรรเทาความเจ็บปวดจากการกดขี่ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริง สำหรับ Marx เป้าหมายไม่ใช่การล้มล้างศาสนาโดยตรง แต่คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม เพื่อให้ผู้คนที่ทุกข์ยากไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความสุขลวงตา (illusory happiness) อีกต่อไป (Marx, 1844)
McKinnon (2005) วิเคราะห์ว่า “ฝิ่น” ในงานของ Marx ไม่ได้เป็นเพียงสารเสพติด แต่คือคำอุปมา (metaphor) เพื่อวิพากษ์ระบบทุนนิยมในศตวรรษที่ 19 แม้ฝิ่นจะจัดเป็นยา แต่ก็ก่อผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง การใช้ฝิ่นเพิ่มขึ้นผกผันกับคุณภาพชีวิตของชนชั้นแรงงานที่เสื่อมถอยจากสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมเปื้อนมลพิษ การระบาดของโรคอหิวาต์ ความแออัดในเขตเมือง และสภาพการทำงานหนัก ปัญหาการใช้ฝิ่นในเด็กและเยาวชนยังสะท้อนถึงภาวะที่ผู้ปกครองต้องทำงานนอกบ้านหนักและนานขึ้นจนไม่มีเวลาดูแล
ในบริบทนี้ ฝิ่นจึงกลายเป็นอุปลักษณ์ของความโหดร้ายในระบบทุนนิยม เพราะแรงงานไม่เพียงแต่ใช้ฝิ่นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดทางกายภาพ แต่ยังใช้ศาสนาเป็นยาฝิ่นเพื่อหลีกหนีความทุกข์ทางจิตใจด้วย Marx จึงเสนอว่า การวิจารณ์ศาสนาคือรากฐานของการวิจารณ์โครงสร้างสังคมที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ (McKinnon, 2005)
ในกรณีนี้ Marx เองก็ได้รับอิทธิพลจาก Rousseau ซึ่งเชื่อว่า มนุษย์เกิดมามีเสรีภาพ แต่พวกเขากลับถูกโซ่ตรวนพันธนาการ Marx อธิบายต่อว่า มนุษย์มองไม่เห็นโซ่ตรวนที่ข้อเท้าของตน เพราะตรวนนั้นประดับห่อหุ้มด้วยช่อดอกไม้ ดังนั้น เขาจึงเสนอให้ “ดึงดอกไม้ปลอมออกจากโซ่ ไม่ใช่เพื่อให้มนุษย์เผชิญหน้าความจริงอันโหดร้ายโดยปราศจากภาพฝันหรือการปลอบประโลม แต่เพื่อให้เขาทำลายโซ่ตรวนทิ้งแล้วออกไปแสวงหาดอกไม้ที่แท้จริง” (Marx, 1844)
เสียงทอดถอนใจของชีวิตที่ถูกกดขี่
ในแง่หนึ่งแล้ว ศาสนาจึงเป็นการแสดงออก (expression) ถึงความทุกข์ของมนุษย์ผู้ถูกกดขี่ ในหลายกรณี ศาสนาเป็นเพียงหนทางเดียวที่ผู้ถูกกดขี่จะได้แสดงความเจ็บปวดรวดร้าวในโลกที่ปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ดังนั้น หากพิจารณาศาสนาด้วยความโรแมนติกแบบ Marx แล้ว “เสียงทอดถอนใจ” นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้ถูกกดขี่ (Marx, 1844)
ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นภาพลวงตา แต่ก็เป็นภาพลวงตาที่สะท้อน “ความปรารถนา” (desire) อันลึกซึ้งของมนุษย์ที่ใฝ่หาชีวิตในฐานะมนุษย์อันสมบูรณ์ แต่ไม่อาจบรรลุได้ภายใต้สังคมที่ไม่เป็นธรรม ความหวังจึงถูกฉาย (project) ไปยังสรวงสวรรค์ ดินแดนพระศรีอาริย์ หรือชีวิตหลังความตาย ที่ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งที่มนุษย์ต้องการ น้ำตาจะเหือดหาย ความทุกข์ทรมานจะยุติลง และมนุษย์จะได้พบความสงบสุขอีกครั้ง (Ignatieff, 2011)การอ่านความปรารถนาถึงโลกอุดมคติเหล่านี้จึงช่วยให้เราเข้าใจสภาพและเงื่อนไขในชีวิตของผู้ทนทุกข์มากขึ้น
ในแง่นี้ Marx ไม่ได้ดูหมิ่นความศรัทธาของผู้ตกทุกข์ได้ยาก หากแต่รังเกียจภาพลวงตาที่ศาสนาสร้างขึ้นเพื่อกลบต้นตอของความเจ็บปวด แต่แม้ว่ามาร์กซ์อาจไม่ได้เคารพศาสนา เขาก็เห็นอกเห็นใจต่อชนชั้นกรรมาชีพที่มอบศรัทธาให้ศาสนาอย่างสุดซึ้ง ทว่าแทนที่จะมอบความศรัทธาแด่พระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบ แต่อนุญาตให้มีความอยุติธรรมบนโลกเหมือนกับโยบ Marx เชื่อว่า มนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตผู้ผลิตสร้าง (homo faber) ชีวิตและสังคมที่ตนใช้ชีวิตอยู่ มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลกให้เที่ยงธรรมกว่าเดิมได้ ดังนั้น หลังจากเขียนบทวิพากษ์ศาสนา ในช่วงปลายทศวรรษ 1840 Marx และ Engels สหายร่วมอุดมการณ์ จึงร่วมกันเขียนข้อเสนอเพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนร่วมแรงกันเปลี่ยนแปลงสังคม ในตอนแรก Engels เสนอให้ใช้ชื่อหนังสือนี้ว่า “a confession of faith” แต่สำหรับ Marx ภาษาของศาสนาจะมีที่ทางในสังคมนิยมแบบวิทยาศาสตร์ (scientific socialism) ไม่ได้ ยุคแห่งการปลอบประโลมด้วยศรัทธาจบลงแล้ว พร้อมหนังสือชื่อ คำแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ที่เลือกใช้คำว่า manifesto ซึ่งบ่งนัยว่าเป็นการประกาศเจตจำนงในการลงมือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม ไม่ใช่ฝากชีวิตไว้กับศรัทธา (Ignatieff, 2011)
หลังจากนั้น นักสังคมศาสตร์จำนวนมากได้สานต่อแนวคิดนี้ ในด้านหนึ่ง ศาสนายังถูกมองว่าเป็นกล้องรูเข็มหรือแว่นทึบแสง (camera obscura) ที่บดบังความสัมพันธ์ทางสังคม สร้างความชอบธรรมแก่ชนชั้นปกครอง รักษาสถานะภาพเดิม (status quo) และเบี่ยงสายตาของผู้ถูกกดขี่จากความทุกข์ในชีวิตประจำวันไปสู่สรวงสวรรค์เบื้องหน้า หรือกล่าวใหม่ก็คือ ศาสนา ความเชื่อ และอุดมการณ์ก่อให้เกิดจิตสำนึกที่ผิดพลาด (false consciousness) หรือเป็นพลังอนุรักษนิยม ทว่าในอีกด้าน นักวิชาการอีกกลุ่มก็พยายามชี้ว่า อุดมการณ์ทางศาสนาเองก็สามารถกลายเป็นพลังต่อต้านอำนาจ หรือฟูมฟักความไม่พอใจในสภาพชีวิตของผู้ถูกกดขี่ได้ โดยเฉพาะเมื่อคำสัญญานั้นไม่เป็นจริง ในหลายกรณีศาสนากลายเป็นพลังเปลี่ยนแปลงสังคมที่ทรงพลังได้เช่นกัน (Rogers & Konieczny, 2018)
บทส่งท้าย
เมื่อพิจารณาแนวคิดของ Marx อย่างละเอียด จะพบว่า ศาสนาไม่ได้เป็นเพียง “ยาฝิ่น” โทษร้ายแรงที่กล่อมให้ผู้ถูกกดขี่หลงลืมความทุกข์ แต่ยังเป็นเสียงทอดถอนใจและ “หัวใจ” ในโลกที่ไร้หัวใจ ซึ่งส่องสะท้อนความเจ็บปวดของมนุษย์ภายใต้โครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมและสภาพชีวิตที่ถูกกดขี่
แม้จะมีผู้กล่าวอ้างว่าโลกในศตวรรษที่ 21 ดูเหมือนเป็นโลกของฆราวาส และศาสนาหมดบทบาทลงแล้ว แต่ตราบใดก็ตามที่โครงสร้างสังคม การเมือง และเศรษฐกิจยังคงผลิตสร้างเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง ศาสนาก็จะยังคงมีบทบาทในการปลอบประโลมจิตใจและจิตวิญญาณที่บอบช้ำ บางทีศาสนาอาจจะยิ่งทวีความสำคัญในฐานะทางเลือกหรือทางหลบหนีออกจากชีวิตวุ่นวายของความเป็นสมัยใหม่และโลกทุนนิยม เนื่องจากมันหยิบยื่น “ความหมาย” หรือหัวใจให้กับมนุษย์ในโลกที่ไร้หัวใจ เราจึงยังเห็นว่าผู้คนไม่น้อยหันหน้าเข้าหาศาสนา ลัทธิ ความเชื่อกระแสรอง ดังที่ปรากฏตามหน้าข่าวแทบทุกวัน
แม้จะมีผู้วิจารณ์ว่า Marx เป็นพวกโรแมนติกและมองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะแม้จะล้มล้างระบบชนชั้นได้ เกิดสังคมแห่งความเสมอภาค และปราศจากความสัมพันธ์ทางการผลิตที่กดขี่ขูดรีด ความทุกข์ก็จะยังคงดำรงอยู่ในโลก ตราบใดก็ตามที่มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และยังเป็นสัตว์สังคมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมีกฎกติกากำกับความสัมพันธ์นั้น แต่ Marx ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น เขาไม่ได้เสนอสังคมที่ปราศจากความทุกข์ หากแต่เป็นสังคมที่มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และมีเสรีภาพในการเติมเต็มศักยภาพของตน โดยปราศจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือชนชั้นมาขวางกั้น
ถามว่าจะจริงอย่างที่ Marx เสนอหรือไม่ เราไม่มีทางรู้ได้ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีสังคมเช่นนั้นเกิดขึ้น แต่ Marx ก็ได้ทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้นักมานุษยวิทยาศาสนา ไม่ใช่ภารกิจในการเป็นแนวหน้าของการปฏิวัติ หรือการหาทางสร้างโลกที่ผู้คนสามารถปลอบประโลมความทุกข์โดยไม่ต้องพึ่งศาสนา แต่เป็นคำถามพื้น ๆ กว่านั้น ซึ่งปรากฏผ่านงานภาคสนามของเรา อาทิ อะไรคืออุปสรรคที่ทำให้ “โลกที่มีหัวใจ” ไม่อาจเกิดขึ้นได้? และหากศาสนายังคงเป็นที่พึ่งของผู้ยากไร้ พวกเราทั้งหมดกำลังใช้ชีวิตอยู่ในสภาพสังคมและเศรษฐกิจแบบใดกันแน่
เอกสารอ้างอิง
Feuerbach, L. (1989). The Essence of Christianity. Prometheus Books.
Ignatieff, M. (2021). On Consolation: Finding Solace in Dark Times. Metropolitan Books.
Marx, K. (1844). A contribution to the critique of Hegel’s philosophy of right: Introduction. Deutsch-Französische Jahrbücher, 1(1), 1–12.
Marx, K. (1975). Theses on Feuerbach. In F. Engels, Ludwig Feuerbach and the end of classical German philosophy (Vol. 5, pp. 6–8). International Publishers.
McKinnon, M. A. (2005). Reading ‘Opium of the People’: Expression, Protest and the Dialectics of Religion. Critical Sociology, 31(1-2), 29–45. https://doi.org/10.1163/1569163053073740
Rogers, M. & Konieczny, E. M. (2018). Does religion always help the poor? Variations in religion and social class in the west and societies in the global south. Palgrave Communications, 4(1), 1-12. https://doi.org/10.1057/s41599-018-0118-x
Weston, F. (2012). Marxism and Religion. สืบค้นจาก https://marxist.com/theory-marxism-and-religion.htm เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568.
ผู้เขียน
ปิยนันท์ จินา
นักวิชาการอิสระ
ป้ายกำกับ ศาสนา เอกเทวนิยม Karl Marx ปิยนันท์ จินา