เราไม่เคยเป็นชนชั้นกลาง: นักมานุษยวิทยากับการรื้อมายาคติของทุน
“เกิดในครอบครัวระดับปานกลาง แต่ชีวิตมันดันอยู่ในกรุง
เมื่อความรักได้บังเกิด มันก็เลยต้องทำทุกอย่าง”
– กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม – The Richman Toy
บทนำ
บทความนี้เป็นการชวนอ่านหนังสือเรื่อง We Have Never Been Middle Class: How Social Mobility Misleads Us (2019) ของ Hadas Weiss นักมานุษยวิทยา ซึ่งมีข้อเสนอหลักที่น่าสนใจว่า “ชนชั้นกลาง”1 ไม่มีอยู่จริง และไม่ใช่กลุ่มทางสังคมที่เป็นรูปธรรม หากเป็นสิ่งสร้างทางอุดมการณ์ที่ทรงพลังของระบบทุนนิยม
Weiss เริ่มจากการตั้งข้อสังเกตว่า “ชนชั้นกลาง” เป็นสิ่งที่ไม่มีนิยามชัดเจน และไม่มีเกณฑ์ที่ตายตัวว่าเราจะนับใครเป็นอยู่ในชนชั้นนี้บ้าง ถึงแม้จะขาดคำจำกัดความที่แน่ชัดและข้อมูลเชิงปริมาณรองรับ แต่แนวคิดดังกล่าวก็ถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องจากตัวแสดงทางสังคมหลายกลุ่ม ตั้งแต่นักการเมือง หน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการ นักการตลาด หรือแม้กระทั่งคนทั่วไป ราวกับเป็นความเป็นจริงทางสังคม (social reality) ชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องตั้งคำถาม แต่ด้วยสาเหตุเดียวกันนี้ Weiss จึงชี้ว่า “ชนชั้นกลาง” ก็ทำหน้าที่เป็นอุดมการณ์หรือมายาคติด้วย
Weiss จึงใช้ข้อมูลภาคสนามและงานชาติพันธุ์นิพนธ์จากอิสราเอลและเยอรมนี รวมถึงกรณีศึกษาจากประเทศต่าง ๆ เพื่อสำรวจว่าอุดมการณ์นี้ทำงานอย่างไรในชีวิตจริงของผู้คน และเผยให้เห็นจุดที่ตรรกะของแนวคิดนี้ขัดแย้งกับสภาพการณ์จริง โดยอาศัยการวิพากษ์ตนเอง (immanent critique) หรือการสะท้อนย้อนคิดเกี่ยวกับตนเอง ซึ่งเป็นจุดแข็งของงานมานุษยวิทยา นอกจากจะวิเคราะห์ต้นกำเนิด แนวทางการทำงาน และวัตถุประสงค์ของอุดมการณ์ “ชนชั้นกลาง” แล้ว Weiss ยังทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดนี้กับแนวคิดสำคัญอื่น ๆ อย่าง “ทรัพย์สิน” และ “ทุนมนุษย์” ซึ่งล้วนมีบทบาทในการค้ำยันความเชื่อว่าชนชั้นกลางเป็นเส้นทางแห่งความมั่นคง
นิยาม: เมื่อพูดถึงชนชั้นกลาง เราพูดถึงใคร?
สำหรับ Weiss (2019) วาทกรรมสาธารณะเกี่ยวกับ “ชนชั้นกลาง” เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง กล่าวคือ มีทั้งความวิตกกังวลต่อเสื่อมถอยและลดจำนวนลงของ “ชนชั้นกลาง” ในประเทศพัฒนาแล้ว และการเฉลิมฉลองต่อการขยายตัวของคนกลุ่มนี้ในประเทศกำลังพัฒนา Weiss เห็นว่าทั้งสองแนวโน้มต่างก็ตอกย้ำการมีอยู่ของ “ชนชั้นกลาง” โดยไม่ตั้งคำถามถึงนิยามหรือข้อมูลเชิงประจักษ์
Weiss พาเราไปสำรวจคำนิยามและเกณฑ์ชี้วัดที่ใช้ระบุสถานะ “ชนชั้นกลาง” ซึ่งล้วนมีข้อจำกัด ตั้งแต่การจำแนกตามอาชีพ (occupational classification) ซึ่งโดยทั่วไป “ชนชั้นกลาง” มักหมายถึงแรงงานมีทักษะ ผู้จัดการ หรือผู้เชี่ยวชาญ แต่ Weiss แย้งว่าเกณฑ์นี้ยังไม่ครอบคลุมแรงงานคอปกขาวที่ทำงานต่ำกว่าความเป็นจริง หรือไม่ได้ใช้ทักษะเต็มเม็ดเต็มหน่วย (underemployed) รวมถึงผู้ที่มีรายได้สูง แต่ไม่ได้ทำงานประจำหรือไม่มีทักษะเฉพาะทาง เช่น นักลงทุน การมีภูมิคุ้มกันต่อความจน (immunity to poverty) ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีทรัพยากรมากพอจะที่ไม่จะต้องเผชิญความหิว และสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตนได้ แต่ Weiss แย้งอีกว่า ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ ความผันผวนและวิกฤต ซึ่งผลักให้ใครก็ตามตกสู่ความยากจนได้อย่างกะทันหัน น่าจะไม่มีใครที่มีภูมิคุ้มกันนี้อีกแล้ว ต่อให้ไม่ใช่คนจนก็ไม่ได้มีความมั่นคงในชีวิต รายได้ที่เหลือใช้ (disposable income) ซึ่งหมายถึงผู้มีรายได้เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายรายวัน ทำให้ซื้อของที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพหรือของฟุ่มเฟือยได้ นี่ก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่แม่นยำ เพราะรายได้และค่าใช้จ่ายในครัวเรือนไม่ได้คงที่ตลอดเวลา รวมถึง ระดับรายได้ที่แน่นอน (absolute income level) เป็นเกณฑ์ที่ไม่อาจเปรียบเทียบข้ามบริบททางภูมิศาสตร์ที่ค่าครองชีพที่แตกต่างกัน ทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศเอง เช่น “ชนชั้นกลาง” ในกรุงเทพฯ กับจังหวัดอื่นอาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือแม้แต่การนิยามว่าเป็นผู้มี “รายได้ปานกลาง” (middle income) ก็ไม่มีนิยามแน่นอนว่าต้องมีรายได้เท่าไรจึงถือว่าอยู่ในกลุ่มนี้ อีกเกณฑ์หนึ่งที่สำคัญก็คือ การนิยามตนเอง (subjective identification) ซึ่งแยกบุคคลตามสิ่งที่เขาหรือเธอนิยามตนเอง แต่ Weiss เห็นว่าเกณฑ์นี้ยิ่งไม่เข้าท่า เพราะเราจะเห็นจำนวน “ชนชั้นกลาง” สูงกว่าการใช้เกณฑ์อื่นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะคนเลือกยึดโยงตัวเองกับชนชั้นนี้ แม้สถานการณ์ทางการเงินหรือพฤติกรรมการบริโภคของเขาอาจจะไม่สอดคล้องกับนิยามใดเลยก็ตาม (Wiess, 2019: 1-4)
ในฐานะนักมานุษยวิทยา Weiss เสนอว่า “ชนชั้นกลาง” เป็นแนวคิดที่คลุมเครืออย่างยิ่ง (exceptionally nebulous) ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่กลับถูกผลิตซ้ำและยึดถืออย่างแพร่หลาย ราวกับเป็นความเชื่อหรือแรงปรารถนามากกว่าจะเป็นข้อเท็จจริงเชิงวัตถุวิสัย จากจุดนี้ Weiss จึงมองว่า “ชนชั้นกลาง” เป็นสิ่งสร้างทางอุดมการณ์ (ideological construct) ที่ทำหน้าที่เสริมกลไกของระบบเศรษฐกิจและจัดระเบียบสังคม (Wiess, 2019: 4)
เมื่อ “ชนชั้น” ไม่สำคัญเท่าคำว่า “กลาง”กูพยายาม กูพยายามมานาน มันถึงเวลาได้สิ่งที่กูต้องการ
โชคชะตา กูว่ามันไม่เกี่ยว ที่กูได้มามันเป็นเพราะกูคนเดียว
กูไม่โทษใคร โทษอะไร กูเอาแต่โทษตัวเอง กูจะดีหรือไม่ดี มันก็อยู่ที่เพลง
- ดูไว้ - Young Ohm
แล้ว “ชนชั้นกลาง” ทำหน้าที่อะไรในทางอุดมการณ์?
Weiss ชี้ว่า “ชนชั้นกลาง” ไม่ได้เป็นเพียงสถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม แต่เป็นอุดมการณ์ที่มักพ่วงกับค่านิยมสำคัญอย่างความมั่นคง (security) บริโภคนิยม (consumerism) ความเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneurship)และการยึดมั่นในระบบประชาธิปไตย ดังนั้น ผู้ที่ระบุตนว่าเป็น “ชนชั้นกลาง” จึงมักโอบรับค่านิยมแบบกระฎุมพีหรือนายทุนน้อย ซึ่งเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนระบบทุนนิยม ทั้งผ่านการแสวงหาความมั่นคงในชีวิตและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ต้องการความมั่นคงทางการเมืองเพื่อให้เอื้อต่อการบริโภคสินค้าต่าง ๆ และเพื่อให้การลงทุนของตนไม่ได้รับผลกระทบจากความโกลาหลและไร้เสถียรภาพทางการเมือง โดยเชื่อว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะสะท้อนกลับมาเป็นผลประโยชน์ของตนด้วย
แม้แนวคิดนี้จะสื่อถึงความมั่นคง แต่ Wiess เห็นว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่ผูกโยง “ชนชั้นกลาง” ไม่ใช่ความมั่งคั่งหรือความมั่นคง แต่กลับเป็นความไม่มั่นคง ภาระหนี้สิน และการทำงานหนัก และคนกลุ่มนี้มักเลือกเงินเดือนประจำมากกว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง (หรืออย่างน้อยก็เอาเงินเดือนประจำไว้ก่อนแล้วแบ่งเงินก้อนนั้นไปลงทุน)
Weiss จึงแงะคำว่า “ชนชั้นกลาง” ออกเป็นสองส่วน และเสนอว่าอุดมการณ์นี้มีแก่นอยู่ที่คำว่า “กลาง” มากกว่า “ชนชั้น” เนื่องจากคำว่า “กลาง” มีนัยถึงกลุ่มทางสังคมแบบกว้าง ๆ ซึ่งครอบคลุมสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่หลากหลายและแตกต่างกันอย่างมาก นอกจากนี้ ยังบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง กล่าวคือ บุคคลที่อยู่ในสถานะนี้อาจเลื่อนตำแหน่งขึ้นหรือลงได้ภายในช่วงชีวิตของตนเองหรือข้ามรุ่น ความไม่หยุดนิ่งนี้ทำให้ “ชนชั้นกลาง” มีลักษณะที่ทั้งใฝ่ฝันทะเยอทยาน (ถูกดึงดูดด้วยโอกาสแห่งความมั่งคั่ง) และไม่มั่นคง (ถูกหลอกหลอนด้วยความกลัวที่จะตกต่ำ) สภาวะง่อนแง่น (evanescent) นี้ส่งผลให้พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อยืนยันและรักษาฐานะทางสังคมของตน (Wiess, 2019: 12-13)
Weiss เสนอว่า ความลื่นไหลเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นกลไกสำคัญของทุนนิยม ซึ่งจะทำงานขูดรีดส่วนเกินได้อย่างราบรื่นก็ต้องนำเสนอระบบคุณธรรมแบบเปิดกว้าง (open-ended meritocracy) ที่ให้คำมั่นว่าจะมอบรางวัลแก่ผู้ที่เหมาะสม (ในขณะเดียวกันก็ขู่ว่าจะลงโทษผู้ที่ไม่คู่ควร) และอุดมการณ์นี้ปรากฏออกมาผ่านความเชื่อเรื่องการเลื่อนระดับทางสังคม (social mobility) ของ “ชนชั้นกลาง” (Wiess, 2019: 13-14)
ในทางกลับกัน คำว่า “ชนชั้น” กลับถูกลดทอนความสำคัญจนเกือบจะหมายถึงการไม่มีชนชั้นเลย ในขณะที่การแบ่งแยกชนชั้นแบบดั้งเดิม เช่น ระหว่างนายกับทาส หรือแรงงานกับนายทุน เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ “ชนชั้นกลาง” นั้นไม่มีชนชั้นตรงข้ามที่ชัดเจน (ใครคือศัตรูของชนชั้นกลาง?) Weiss เห็นว่านี่เป็นการลดทอนความเป็นการเมืองของชนชั้นลง จนทำให้ “ชนชั้นกลาง” ไม่ใช่กลุ่มทางสังคมที่เหนียวแน่น แต่ประกอบจากปัจเจกบุคคลจำนวนมากที่แยกขาดจากกัน แต่ละคนต่างก็คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตน (Wiess, 2019: 7)
Weiss เสนอว่า แม้การเน้นย้ำเรื่องการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง (self-determination) และการเลื่อนสถานะทางสังคมนี้ดูเหมือนจะเสริมสร้างศักยภาพแก่ปัจเจก ทว่ากลับสร้างภาระทางจิตใจอันหนักอึ้งแก่มนุษย์ เนื่องจากความเชื่อเหล่านี้บดบังการเอารัดเอาเปรียบเชิงโครงสร้างและความเหลื่อมล้ำที่เป็นผลผลิตของระบบเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งอาจจำกัดทางเลือก บีบรัดโอกาส หรือลดทอนความพยายามของผู้คนลงอย่างมีนัยสำคัญ มิหนำซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่ปัจเจกไม่สามารถบรรลุความฝันตามที่ระบบวางไว้ ความล้มเหลวมักถูกโยนให้เป็นความรับผิดชอบส่วนตัว (individual agency) โดยแทบไม่มีพื้นที่ว่างทางความคิดให้ตั้งคำถามถึงความอยุติธรรมของโครงสร้าง กล่าวอีกนัยหนึ่ง การยกย่องปัจเจกภาพในทุกมิติของชีวิตกลายเป็นกลไกสำคัญของการควบคุมทางสังคม ที่ไม่เพียงสลายจิตสำนึกทางชนชั้น แต่ยังเบี่ยงเบนพลังแห่งความไม่พอใจให้กลายเป็นแรงผลักดันในการปรับปรุงตนเอง เพื่อรักษาสถานะเดิม มากกว่าจะรวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมอันไม่เป็นธรรม (Wiess, 2019: 23)
สำหรับ Weiss ทุนนิยมและระบบการเงินโลกจำเป็นต้องพึ่งพาอุดมการณ์ “ชนชั้นกลาง” ในการทำงานอย่างราบรื่น แม้จะแสดงออกว่าส่งเสริมการกำหนดชีวิตตนเองและเสริมอำนาจของปัจเจก แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามตัดสวัสดิการทางสังคมซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อโอกาสในชีวิต และปล่อยให้ผู้คนต้องลงทุนและจัดการชีวิตตนเองโดยใช้ทรัพยากรส่วนบุคคลหรือทรัพยากรครัวเรือน ส่วนสถาบันทางการเงินก็ทำทีเป็นหยิบยื่นโอกาสและตอบสนองความต้องการของผู้คน ด้วยการให้สินเชื่อหรือกู้ยืมเงิน ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่มี “ต้นทุนชีวิต” ไม่มาก นอกจากนี้ มนุษย์ยังถูกคาดหวังให้มีความรอบรู้ทางการเงิน (financially literate) และแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนเอง และที่สำคัญ เงินกู้และเครดิตไม่ใช่แค่การเพิ่มอำนาจทางเศรษฐกิจให้มนุษย์ แต่แท้จริงแล้วกลับผูกความมั่งคั่งส่วนบุคคลเข้ากับตลาดการเงินที่ผันผวนและการแข่งขันในตลาดงานที่เข้มข้น (Wiess, 2019: 25)
เราจะไม่มีทางเข้าใจ “ชนชั้นกลาง” หากยังไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของทุนนิยม ซึ่งสำหรับ Weiss แล้ว เนื้อแท้ของมันคือการแสวงหาผลประโยชน์จากมูลค่าส่วนเกิน (surplus) ที่มนุษย์ผลิตขึ้น กล่าวคือ แรงงานจะถูกเรียกร้องให้สร้างมูลค่ามากกว่าค่าตอบแทนที่ได้รับ เพื่อผลิตมูลค่าส่วนเกินที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสะสมทุน (accumulation) เมื่อสินค้าผลิตได้มากขึ้น ราคาก็ถูกลง เมื่อคนซื้อของถูกลง นายจ้างก็จ่ายค่าแรงในระดับต่ำได้ แต่ค่าแรงนี้ก็ต้องเพียงต่อการประทังชีวิตของคนงานเพื่อป้อนกลับสู่กระบวนการผลิตด้วย เมื่อผู้คนต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม ความไม่พอใจย่อมเกิดขึ้นและอาจกลายเป็นแรงต่อต้านในระยะยาว ตรงจุดนี้เองที่อุดมการณ์เข้ามาทำงานเพื่อบดบังการขูดรีดเชิงโครงสร้าง ตัวอย่างเช่นการเรียกการแย่งยึดมูลค่าส่วนเกินนี้ว่า “การพัฒนาตนเอง” เรียกการขูดรีดเชิงระบบว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งยังเรียกร้องให้มนุษย์ “ลงทุนในชีวิต” เพื่ออนาคตที่ดีกว่า หรือการปลูกฝังให้ขยันทำงานเพื่อครอบครัว (“ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า”) ซึ่งล้วนเป็นกลยุทธ์ในการสร้างแรงงานที่เชื่องเชื่อและยอมรับการขูดรีดโดยสมัครใจ ผู้ที่ทนรับสภาพการทำงานหนักไม่ได้ ไม่พอใจกับเงินเดือน หรือทำงานไม่ได้ ก็ควรจะลาออกไป เพราะยังมีคนว่างงานต่อคิวรออีกเป็นกองทัพ (Wiess, 2019: 17-19)
กลไกสำคัญที่ทุนใช้ดึงดูดใจคนก็คือ การถ่ายโอนมูลค่าส่วนเกินคืนสู่แรงงานในรูปทรัพย์สินส่วนบุคคล (private property) ซึ่งถูกนำเสนอให้เป็นสิ่งตอบแทนต่อความขยันอดทน ความประหยัดอดออม แม้รางวัลนี้จะไม่ได้ตกถึงมือของทุกคน และก็ไม่รับประกันความมั่นคงในชีวิตเสมอไป นั่นหมายความว่า นอกจากทำงานจนยุ่งเกินกว่าจะติดตามข่าวสารบ้านเมือง และไม่มีเวลาจะประท้วงต่อต้านโครงสร้างที่เอาเปรียบแล้ว คนทำงานในระบบทุนยังมีอีกสถานะหนึ่งคือการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน (หรือผู้บริโภค) พวกเขาจึงมีเดิมพันที่จะต้องสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อค้ำยันสถานะ แม้ว่าการเติบโตนั้นจะตั้งอยู่บนส่วนเกินที่สกัดจากแรงงานของพวกเขาเองก็ตาม (Wiess, 2019: 32)
อุดมการณ์กำหนดชะตาชีวิตตนเองนี่แหละที่ดึงคนเข้าร่วมกับทุนนิยม โดยเฉพาะภาคการเงินที่สร้างภาพฝันของ “วัยรุ่นสร้างตัว” (self-made) ผ่านการกู้หนี้ยืมสิน การผ่อนชำระ หรือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ซึ่งสุดท้ายเงินเหล่านี้ก็จะหมุนเวียนกลับเข้าไปในกลไกสะสมทุน เนื่องจากการจ้างงานไม่มั่นคงและรายได้ไม่แน่นอนมากขึ้นทุกที (ตำแหน่งงานน้อย สัญญาจ้างชั่วคราว และค่าตอบแทนต่ำ) ผู้คนจึงหันไปแสวงหาทรัพย์สินเพื่อยึดโยงความมั่นคงในชีวิตไว้กับวัตถุ ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้ได้รับการโฆษณาว่าจะเพิ่มมูลค่าในอนาคตได้ตามกลไกตลาด ในที่สุด แรงงานในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน จึงมีเหตุผลที่จะสนับสนุนการเติบโตของระบบทุนนิยม เพื่อปกป้องสิ่งที่ตนถือครอง แม้จะรู้ว่ามันคือผลผลิตจากการขูดรีดแรงงานของตนเองก็ตาม (Wiess, 2019: 28)
ดังนั้น “ชนชั้นกลาง” จึงติดอยู่ในความย้อนแย้งคือ ในฐานะแรงงาน พวกเขาถูกเอาเปรียบ แต่ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน หรือผู้ใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของ2 พวกเขายังพอมีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากทุน การต่อต้านทุนนิยมจึงหมายถึงการสูญเสียสิ่งที่ตัวเองมีหรือกำลังจะมี ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเลือกทำงานหนักอย่างเงียบงัน ทนต่อสภาพการทำงานที่บีบรัดและหัวหน้าที่ไร้เหตุผล เก็บหอมรอมริบ และ “ลงทุนในชีวิต” มากกว่าจะรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานและโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นธรรมมากขึ้น
“การลงทุนมีความเสี่ยง”: คำสัญญากลวงที่กลวงเปล่าของ “ทรัพย์สิน” และ “ทุนมนุษย์”
Weiss เสนอว่า ทรัพย์สินส่วนบุคคลได้กลายเป็น “สถาบัน” หลักที่ค้ำยันอุดมการณ์ของ “ชนชั้นกลาง” ซึ่งนำเสนอในรูปของบ้าน คอนโด รถยนต์ ยอดเงินในบัญชี ประกันสุขภาพ กองทุนบำนาญ หรือวุฒิปริญญา ในฐานะวิธีรักษาความมั่นคงและชีวิตที่ดีภายใต้ภาพฝันอเมริกัน (American Dream)3 อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งที่ความปรารถนาเหล่านี้กลับทำให้ผู้คนต้องเผชิญกับภาระหนี้สิน ความไม่มั่นคง และความเสี่ยง ตั้งแต่การลงทุนเกินตัวไปจนถึงการตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพ เช่น คอลเซ็นเตอร์ (Wiess, 2019: 20)
ทรัพย์สินที่เคยสื่อถึงความมั่นคงได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ซึ่งมีมูลค่าผันผวน ขณะเดียวกันสถาบันทางการเงินก็เข้ามาเก็งกำไรบนความผันผวนนี้ กระทั่งนำไปสู่วิกฤตการเงินปี 2009 ซึ่งทำให้ผู้คนนับล้านสูญเสียบ้านและเงินออม ถึงแม้เหตุการณ์นี้จะสร้างบาดแผลลึกในระดับโครงสร้าง แต่ผู้คนก็ยังกลับไปลงทุนในทรัพย์สินเหล่านี้เหมือนเดิม เพราะมันเป็นเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่วัย “ผู้ใหญ่” (ซึ่งไปด้วยกันได้กับแนวคิด self-determination) และทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ เมื่อ “ตาข่ายนิรภัย” ด้านอื่นในชีวิตอันตรธานหายไปหมดแล้ว (Wiess, 2019: 28)
ในยุคแรกของทุนนิยม ทรัพย์สินทำหน้าที่เป็นทางเลือกแทนความมั่งคั่งแบบสืบทอด โดยกระตุ้นให้แรงงานทำงานหนักเพื่อสร้างอนาคตตัวเอง แม้แรงจูงใจหลักมักเป็นความปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีในช่วงบั้นปลาย มากกว่าจะเป็นการลงทุนซ้ำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่แรงจูงใจนี้เองก็ให้ความมั่นใจแก่ผู้ลงทุนว่า เขามี “ข้อได้เปรียบชั่วคราว” เหนือผู้ที่ไม่ครอบครองทรัพย์สินใด แม้ข้อได้เปรียบนี้จะไม่แน่นอนและหมดอายุได้ทุกเมื่อ ความย้อนแย้งของทรัพย์สินจึงปรากฏชัด ในขณะที่มันสนับสนุนการลงทุน ก็กลับส่งเสริมการแสวงหาค่าเช่าและการกักตุนความมั่งคั่ง หากบุคคลมีสิ่งของคงทนอยู่ในครอบครองก็อาจจะขาดแรงจูงใจที่จะลงทุนต่ออีก บางคนอาจจะกอดเก็บความมั่งคั่งแทนที่จะนำไปลงทุนซ้ำ ส่งผลให้ระบบขาดพลวัต และเมื่อทรัพย์สินราคาตกลง ไม่เพียงไม่สร้างกำไรแต่ยังทำให้ขาดทุน ความมั่นคงที่พึงหวังก็แปรเปลี่ยนเป็นภาวะเปราะบางยิ่งกว่าเดิม (Wiess, 2019: 37)
ในขณะที่ทรัพย์สินคือการลงทุนในสิ่งที่เป็นวัตถุ “ทุนมนุษย์” (Human capital) ก็คือการลงทุนในสิ่งที่เป็นอวัตถุ (immaterial investment) เช่น วุฒิการศึกษา ใบประกอบวิชาชีพ ทักษะ ประสบการณ์การทำงาน และเครือข่ายทางสังคม ซึ่งเป็นความหวังของ “ชนชั้นกลาง” ที่จะสร้างตาข่ายนิรภัยเผื่อไว้ในวันที่รายได้ประจำหดหายไป ทุนมนุษย์ไม่สามารถถ่ายโอนข้ามบุคคลได้ จึงมักถูกเสนอว่าเป็นคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละคน แม้จะได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวในช่วงเริ่มต้น เช่น พ่อแม่มอบการเลี้ยงดูและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนา และบ่มเพาะทักษะ รสนิยม และเครือข่ายทางสังคมให้ลูกได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วจำเป็นต้องมีการลงทุนลงแรงเพิ่มเติมจากตัวเด็กเองด้วย
ถึงแม้ทุนมนุษย์จะมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ค่าของมันมักสัมพันธ์กับทุนมนุษย์ของผู้อื่นเสมอ ส่งผลให้คนงานต้องลงทุนอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่เพียงเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต แต่เพื่อตามให้ทันกับการแข่งขันในตลาดแรงงาน จึงไม่น่าแปลกใจที่ระบบเศรษฐกิจจะเติบโตจากการแข่งขันที่ไร้จุดจบนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักประกันใดรับรองได้ว่า การลงทุนนี้จะคุ้มค่า การแข่งขันอย่างเข้มข้นนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการผลิต ขณะเดียวกันก็ลดมูลค่าของสิ่งเหล่านี้ลง เมื่อคุณสมบัติเกินความต้องการ ทักษะไม่ตรงกับตลาด หรือวุฒิการศึกษาเฟ้อจนไม่เป็นใบเบิกทางอีกต่อไป บุคคลจึงต้องกลับไปลงทุนซ้ำทั้งในเชิงความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรม เพียงเพื่อไม่ให้ตกกระป๋อง (Wiess, 2019: 43)
ที่สำคัญ ความตึงเครียดนี้ส่งผลต่อทั้งตัวปัจเจก และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ผู้ที่ประสบความสำเร็จและหลุดพ้นความยากจนมักปกป้องทรัพย์สินและสิทธิพิเศษของตน ต่อต้านการจัดสรรทรัพยากรใหม่ และให้ความสำคัญกับเสถียรภาพมากกว่าความเป็นธรรม ทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้างกลายเป็นภาระของปัจเจกแต่ละคน ข้อเสนอเรื่องการกำหนดชะตาชีวิตตนเองจึงเป็นเรื่องย้อนแย้ง เพราะแม้แต่ผู้ที่เชื่อมั่นในหลักการนี้ก็ยังตกอยู่ใต้ข้อจำกัดมากมาย รวมถึงภาวะบีบคั้นชนชั้นกลาง (middle class squeeze)
บทส่งท้าย
หนังสือเล่มนี้ของ Weiss มีคุณูปการชี้ให้เห็นถึงบทบาทของอุดมการณ์ “ชนชั้นกลาง” ในการผลักดันให้แรงงานต้องทุ่มเทแรงกาย เวลา และทรัพยากร เพื่อแสวงหาอนาคตที่มั่นคง โดยแลกกับความสุขในปัจจุบัน ทว่าโครงสร้างนี้ไม่เพียงถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้ระบบทุนนิยม ซึ่งเติบโตจากการลงทุนเหล่านี้โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ผู้คนจึงถูกบังคับให้ลงทุน เพราะมิฉะนั้นอาจต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่รุนแรง และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชีวิตที่โดดเดี่ยวและแข่งขัน
สถาบันอย่าง “ทรัพย์สินส่วนตัว” และ “ทุนมนุษย์” ยังถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมความพยายามของปัจเจก แม้จะเสริมสร้างศักยภาพของปัจเจกในระดับหนึ่ง แต่ก็มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อการสะสมทุนในระบบ ยิ่งไปกว่านั้น กลไกอุดมการณ์เหล่านี้ยังกล่อมให้เราเชื่ออย่างสนิทใจว่ายังมีความหวัง แต่ภายใต้การครอบงำของระบบการเงิน ผลลัพธ์กลับไม่สามารถคาดเดาได้ ผู้คนต้องแบกรับการผ่อนชำระสินทรัพย์ที่อาจไม่ได้เป็นเจ้าของในอนาคต หรืออาจไร้มูลค่าตามกลไกตลาด ทำให้การวางแผนชีวิตลำบากยิ่งขึ้น
แต่ถึงแม้ผลตอบแทนจากการลงทุนจะไม่คุ้มค่า และหลายครั้งส่งผลให้ชีวิตเปราะบางกว่าเก่า พวกเขาก็ยังคงเชื่อมั่นในอุดมการณ์นี้ และแบกรับความเสี่ยงเอาไว้เอง โดยไม่ตั้งคำถามว่าเหตุใดชีวิตจึงเต็มไปด้วยการลงทุน และต้องลงทุนในทุกมิติมากมายถึงเพียงนี้ หากกล่าวแบบ Weiss ก็คงอธิบายได้ว่าเพราะการเป็น “ชนชั้นกลาง” นั้นน่าหอมหวาน มากกว่าการยอมรับว่ามันคืออุดมการณ์
เอกสารอ้างอิง
Weiss, H. (2019). We Have Never Been Middle Class: How Social Mobility Misleads Us. Verso.
1 บทความนี้ตั้งใจใส่เครื่องหมายอัญประกาศครอบคำว่า “ชนชั้นกลาง” เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอของ Weiss
2 ประโยคยอดนิยมอย่าง “ถ้าถูกหวย กูลาออกแน่” ที่มักปรากฏทุกช่วงต้นเดือนและกลางเดือน ไม่ใช่แค่คำพูดติดตลก แต่สะท้อนความขัดแย้งลึกซึ้งระหว่างการทนรับสภาพการทำงานประจำ กับความหวังที่จะหลุดพ้นจากโครงสร้างนี้ผ่านการได้รับ ‘ทุน’ ที่ไม่ต้องแลกด้วยแรงงาน หากเราพิจารณาว่า เงินรางวัลจากหวยถือเป็นทุนประเภทหนึ่งที่มอบอำนาจให้แก่ปัจเจกอย่างฉับพลัน ไม่ต้องสะสมหรือลงแรง แต่อาศัยโชคลาภ ซึ่งยิ่งเน้นให้เห็นความเปราะบางของชีวิตแรงงานในปัจจุบัน ที่ต้องพึ่งพาความบังเอิญมากกว่าความมั่นคงในระบบ
3 นึกถึงคอนเทนต์ประเภท “เงินอาจซื้อความสุขไม่ได้ แต่ร้องไห้ในรถเบนซ์ดีกว่าบนรถเมล์”
ผู้เขียน
ปิยนันท์ จินา
นักวิจัย ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ป้ายกำกับ ชนชั้นกลาง มานุษยวิทยา มายาคติ ทุนนิยม ปิยนันท์ จินา