เผด็จการในคราบ “คนดี”: วาทกรรม “คนดี” ในฐานะฉากบังตาอำนาจนิยม

 |  รัฐ และวัฒนธรรมอำนาจ
ผู้เข้าชม : 676

เผด็จการในคราบ “คนดี”: วาทกรรม “คนดี” ในฐานะฉากบังตาอำนาจนิยม

           ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรามักจะสังเกตเห็นและพบได้ว่าผู้นำเผด็จการมักจะปลอมตัวและสวมบทบาทภายใต้ภาพลักษณ์ของบุคคลที่นำเสนอว่าตนเองเป็นผู้ปกป้องประชาชนและประเทศชาติ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต และทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว แต่ในขณะเดียวกัน ผู้นำเหล่านี้ก็มักจะรวบรวมอำนาจ บีบบังคับ และปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นต่าง ปรากฏการณ์ที่ผู้นำเผด็จการพยายามที่จะสร้างภาพว่าตนเองเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมสูงส่งหรือเป็น "คนดี" ทำให้ความเข้าใจของผู้คนต่อการปกครอง อำนาจ และความชอบธรรมในสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น

           ในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมแบบหนึ่ง สิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่าเผด็จการในคราบ “คนดี” มิใช่เพียงกลยุทธ์ทางการเมือง หากแต่เป็นผลผลิตของวาทกรรมและโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ฝังรากลึกในสังคม ซึ่งหล่อหลอมให้คุณค่าบางอย่างกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจที่กดขี่ ในกรอบความคิดนี้ “คนดี” ไม่ได้หมายถึงคุณธรรมในเชิงจริยธรรม หากแต่เป็นตำแหน่งแห่งที่ของอำนาจที่รัฐหรือชนชั้นนำกำหนดและสถาปนาให้ประชาชนต้องยอมรับโดยปราศจากการตั้งคำถาม ความ “ดี” จึงมิได้มีอยู่ในตัวบุคคล แต่ดำรงอยู่ในระบอบวาทกรรมที่เลือกได้ว่าจะนิยามว่าใคร


คุณธรรมกับอำนาจ: ในนามของความชอบธรรม

           แนวคิดเรื่องเผด็จการผู้มีคุณธรรม (benevolent dictatorship) มักถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอในช่วงวิกฤติทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ แนวคิดนี้มักใช้อธิบายถึงการจัดประเภทระบอบเผด็จการหนึ่ง ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่เลวร้ายในสายตาของสาธารณชน เพราะผู้นำใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจโดยอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือความมั่นคงของชาติ แม้ไม่มีความชอบธรรมจากกระบวนการประชาธิปไตยก็ตาม (Collins, n.d.) ในบางสังคม มีการกล่าวถึงผู้นำเผด็จการแบบนี้ว่าทำงานมีประสิทธิภาพ หรือดีกว่าประชาธิปไตยที่ล้มเหลว ทั้งนี้ หากกล่าวในมุมมองทางมานุษยวิทยาแล้ว อาจมองได้ว่าแนวคิดนี้ทำงานในฐานะเรื่องเล่าเพื่อการสร้างความชอบธรรม (narrative of legitimation) ผ่านการตีกรอบความทุกข์ยากของสังคมให้ดูราวกับเป็นผลของความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตย และสร้างความหวังใหม่ ๆ ผ่านบุคคลที่อ้างตนหรือเชื่อว่าจะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองผู้คน และสามารถนำพาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤติไปได้

           ฟารีด ซาคาเรีย (Fareed Zakaria) (1997) บอกว่า ผู้นำแบบอำนาจนิยมมักจะได้รับความนิยมหรือยกย่องในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่ระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอหรือกำลังล้มเหลว การให้เหตุผลในการกระทำที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจะถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การขึ้นสู่อำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ในนาซีเยอรมันนับเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการที่เผด็จการสามารถสร้างภาพลักษณ์ของคนดี หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากสนธิสัญญาแวร์ซายหลงจากที่เยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งแรก ฮิตเลอร์ได้ให้สัญญากับชาวเยอรมันว่าจะนำความยิ่งใหญ่กลับคืนมาแก่ชาติ โดยใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของเขาในฐานะผู้กอบกู้ของชาติ เอียน เคอร์ชอว์ (Ian Kershaw) (2008) อธิบายว่าความนิยมของฮิตเลอร์เกิดจากความสามารถของเขาในการสื่อสารที่ประกอบกับความวิตกกังวลของชนชั้นกลางเยอรมัน ผ่านการวางตัวเป็นผู้กุมความหวังสุดท้ายของความอยู่รอด ภาพลักษณ์ของฮิตเลอร์ในฐานะผู้นำที่ห่วงใยประเทศชาติของตัวเองทำให้เขาสามารถใช้เหตุผลข้างต้นกระทำการรวมศูนย์อำนาจและนำพาประเทศเข้าสู่ช่วงเวลาอันมืดมน


วาทกรรม “คนดี” ในฐานะเครื่องมือสร้างบรรทัดฐาน

           อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญคือ “คนดี” ที่ถูกอ้างถึงและซ้อนทับกับแนวคิดเรื่องเผด็จการผู้มีคุณธรรมนั้นหมายถึงอะไร และความหมายของมันถูกผลิตขึ้นมาอย่างไร

           อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดเรื่อง “คนดี” ดังกล่าวมิได้เป็นสภาวะสากลหรือเป็นกลาง หากเป็นผลผลิตของวาทกรรมทางอำนาจที่กำหนดว่าคุณค่าประเภทใดควรถูกยกย่อง และแบบแผนพฤติกรรมใดควรถูกมองว่าดี มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) (1977) ชี้ให้เห็นว่า คุณค่าทางศีลธรรมและวาทกรรมคุณธรรมคือส่วนหนึ่งของระบอบความจริง (regimes of truth) ที่กำหนดสิ่งที่สังคมเชื่อว่าสมควรหรือไม่สมควร ในบริบทนี้ วาทกรรมคนดีจึงไม่ใช่เพียงการบรรยายบุคคลเฉพาะ แต่คือกระบวนการผลิตความจริงที่กดทับโลกทัศน์ทางเลือกอื่น ๆ ว่าผิดบาปหรือเสื่อมทราม กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนดี กลายเป็น ต้นแบบที่ถูกใช้อ้างอิง เพื่อกำหนดขอบเขตของความชอบธรรม และในขณะเดียวกันก็กีดกันการกระทำหรือความคิดอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในระนาบนั้นให้อยู่นอกวงของศีลธรรม สถานะของ “ความดี” จึงไม่ใช่แค่เรื่องศีลธรรม แต่เป็นเครื่องมือของอำนาจทางการเมือง

           ความดีแบบที่รัฐอ้างนั้นมักผูกพันกับคุณลักษณะบางอย่างเช่น กล่าวได้ว่า “คนดี” ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม เพียงแต่ประพฤติตนให้สอดคล้องกับคุณลักษณะที่มีอยู่ก็เพียงพอ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปท้าทายหรือเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ปิแอร์ บูร์ดิเยอร์ (Pierre Bourdieu) (1977) อธิบายว่าเป็นกระบวนการผลิตสิ่งที่ถูกคิดว่าไม่ต้องคิด (doxa) กล่าวคือ วาทกรรมความดีเมื่อฝังแน่น ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตั้งคำถามได้ คนที่ไม่เข้าข่ายคุณสมบัติเช่นนั้น เช่น นักกิจกรรมสิทธิพลเมือง นักวิจารณ์รัฐ หรือผู้มีความเชื่อทางเลือก ถูกทำให้กลายเป็น “คนไม่ดี” โดยอัตโนมัติ และจะถูกทำให้หมดความชอบธรรมทางการเมืองไปพร้อมกัน


คนธรรมดากับชีวิตใต้เงาเผด็จการ

           ในระบอบเผด็จการ เมื่อความดีถูกกำหนดและบังคับใช้อย่างเป็นทางการ คนธรรมดาบางกลุ่มกลับต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันขมขื่น งานของเจมส์ ซี สก็อต (James C Scott) (1985) แสดงให้เห็นว่าแม้ชนชั้นนำในหมู่บ้านอูจงบูกิต (Ujong Bukit) จะแสดงตนเป็นคนดีมีเมตตาเพื่อสร้างความชอบธรรม แต่การกระทำเหล่านี้กลับบั่นทอนเศรษฐกิจยังชีพและชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อยผ่านกลไกทางสังคมและเศรษฐกิจที่กดขี่ เช่น การควบคุมตลาดผลผลิต การกำหนดเงื่อนไขสินเชื่อ และการบังคับใช้แรงงาน คนเหล่านี้จึงใช้ศาสตราของผู้อ่อนด้อย (weapons of the weak) ในการต่อต้าน “คนดี” อย่างเงียบ ๆ อาเซฟ บายัต (Asef Bayat) (2010) อธิบายว่าในตะวันออกกลาง คนธรรมดาเองก็มีการตอบโต้บรรทัดฐาน “ความดี” ของรัฐศีลธรรม ผ่านสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นการบุกรุกอย่างเงียบเชียบ (quiet encroachment) เพื่อรักษาชีวิตในพื้นที่เล็ก ๆ ของตนเอาไว้

           ชีวิตของคนธรรมดาในระบอบเผด็จการในคราบ “คนดี” จึงไม่ใช่เพียงการอยู่ใต้การควบคุม หากยังเป็นการดำรงชีวิตท่ามกลางการตีความคุณค่าแบบผูกขาด ที่กดทับความเป็นมนุษย์ในทุกมิติ ในบางกรณี “ความดี” ไม่ได้ถูกใช้เป็นแบบอย่างของเผด็จการอย่างเดียว แต่ยังถูกบังคับใช้คนธรรมดาด้วย นำไปสู่การต้อง “ปรับตัว” เข้ากับกรอบนิยามของรัฐ ความดื้อรั้นที่ปรากฏผ่านการไม่ยอมให้รัฐมากำหนดทุกจังหวะของการหายใจ กลายเป็นการเมืองของคนธรรมดาสามัญ (the politics of the ordinary) ที่มักจะไม่ปรากฏให้เห็น แต่เป็นการเมืองที่ทรหด และฝังลึกในประสบการณ์ของผู้ถูกปกครอง


วาทกรรมของความดีในฐานะกลไกทำลายโครงสร้างสาธารณะ

           ภาพของผู้นำในคราบ “คนดี” มักถูกเสนอว่าเป็นหลักประกันแห่งความมั่นคงทางการเมือง เป็นตัวแทนของศีลธรรมที่สังคมควรยึดถือ แต่ในเชิงโครงสร้างแล้ว ภาพลักษณ์นี้คือเครื่องมืออันทรงพลังของอำนาจที่บ่อนทำลายรากฐานประชาธิปไตยอย่างแนบเนียนและรุนแรง การผูกขาดคุณค่าความดีไว้กับบุคคลผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะในกรณีของผู้นำที่ไม่ควรได้รับการตีความว่าดีตามสามัญสำนึก กลับกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ทำให้ความดีกลายเป็นเรื่องของสถานภาพ ไม่ใช่การกระทำ บรรทัดฐานใหม่นี้บ่อนเซาะการมีอยู่ของสถาบันสาธารณะ เช่น สื่อมวลชน องค์กรตรวจสอบ และภาคประชาสังคม ซึ่งล้วนถูกทำให้กลายเป็นเพียงผู้ตามวาทกรรม “ความดี” ของผู้นำ มากกว่าจะมีอิสระในการตั้งคำถามหรือตรวจสอบ (Levitsky & Ziblatt 2018)

           เมื่อความดีสามารถถูกอ้างได้โดยไม่ต้องผ่านการพิสูจน์ เมื่อความดีจะถูกวางอยู่เหนือความโปร่งใส ความรับผิด และการตรวจสอบ วาทกรรม “คนดี” ก็ทำหน้าที่เสมือนใบอนุญาตให้กับอำนาจเผด็จการ ผู้นำสามารถกุมอำนาจเบ็ดเสร็จโดยไม่ต้องเผชิญกับคำถามหรือการต่อต้านใด ๆ เพราะเพียงแค่มีภาพลักษณ์ว่า “ดี” ก็เพียงพอที่จะกลบความอยุติธรรมทุกชนิด ในนวนิยาย 1984 จอร์จ ออร์เวล (George Orwell) (1949) แสดงปรากฏการณ์นี้ผ่านระบบคิดสองทาง (doublethink) ซึ่งไม่ใช่แค่การโกหกตัวเอง แต่คือการเชื่อคำโกหกอย่างจริงใจ ประชาชนสามารถเชื่อได้ในเวลาเดียวกันว่าผู้นำที่สั่งฆ่า ปราบปราม และควบคุมชีวิตพวกเขาคือผู้เสียสละและมีคุณธรรม นี่คืออาการของสังคมที่ถูกวาทกรรม “ความดี” ทำให้มึนงง จนความจริงและความเท็จถูกกลืนเข้าหากันอย่างสิ้นเชิง


ประชาธิปไตยที่บกพร่อง หรือเผด็จการที่แสร้งดี: ทางเลือกที่ไม่เท่าเทียมกัน

           ข้อโต้แย้งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อปกป้องเผด็จการในคราบคนดี คือ หากไม่เลือกผู้นำที่มีศีลธรรมสูงในระบอบอำนาจนิยม ก็จะต้องยอมทนอยู่กับประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยนักการเมืองทุจริตและไร้คุณธรรม ข้อโต้แย้งนี้ถือเป็นภาพลวงตาของทางเลือกสองทาง (false dichotomy) ที่ถูกผลิตขึ้นโดยวาทกรรมอำนาจสำหรับลดทอนจินตนาการทางการเมืองและบังคับให้ประชาชนเชื่อว่ามีเพียงสองทางเลือก งานของซาคาเรีย (1997) ชี้ให้เห็นว่า ประชาธิปไตยที่บกพร่องและไร้คุณธรรมในสายตาของสังคม มักเกิดจากกระบวนการประชาธิปไตยที่อ่อนแอและสถาบันตรวจสอบที่ไม่แข็งแรง หากแต่ประชาธิปไตยยังคงเปิดพื้นที่ให้สังคมตรวจสอบ ถ่วงดุล และโค่นล้มล้มผู้มีอำนาจตามวิถีทางที่ควรจะเป็นได้อย่างสันติ ในขณะที่ระบอบเผด็จการในคราบคนดีนั้นแม้จะสร้างภาพลักษณ์ทางศีลธรรม แต่กลับบั่นทอนกลไกการตรวจสอบ ทำให้สังคมไร้หนทางจัดการเมื่อผู้นำใช้อำนาจเกินขอบเขต (Levitsky & Ziblatt, 2018)

           ฟรานซิส ฟุกุยามะ (Francis Fukuyama) (2014) อธิบายว่า หนึ่งในจุดแข็งของประชาธิปไตยอยู่ที่ความสามารถในการสร้างกลไกยอมรับความผิดพลาด แก้ไข และสร้างบรรทัดฐานใหม่ ขณะที่เผด็จการในคราบคนดีมักใช้วาทกรรมคุณธรรมเพื่อทำให้ข้อผิดพลาดของตนเองกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอยู่เหนือการถกเถียง ซึ่งในระยะยาวทำลายคุณค่าของความเป็นสาธารณะและความหลากหลายของสังคม ข้อโต้แย้งที่ว่า “ถ้าไม่เอาเผด็จการคนดี ก็ต้องอยู่กับประชาธิปไตยที่มีแต่คนชั่ว” จึงเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจในการทำให้ความเป็นไปได้อื่น ๆ ถูกลบทิ้งจากการจินตนาการทางการเมืองของสังคม (Bayat, 2010) ดังนั้น การยอมจำนนต่อภาพลวงตานี้จึงไม่ใช่เพียงการยอมแพ้ต่อสถาบันประชาธิปไตย แต่คือการเปิดทางให้การกดขี่แบบแฝงในคราบคุณธรรมกลายเป็นระเบียบถาวร


สรุป

           วาทกรรม “คนดี” คืออาวุธทางอำนาจที่ปลอมตัวเป็นคุณธรรม การผูกขาดคำว่า “ดี” ไว้กับผู้นำไม่เพียงยกคุณค่าเชิงศีลธรรมขึ้นเหนือกลไกตรวจสอบถ่วงดุล แต่ยังบ่อนทำลายรากฐานประชาธิปไตยอย่างแนบเนียน เพราะทันทีที่สังคมเชื่อว่าความดีเป็นคุณสมบัติติดตัวบุคคล ไม่ใช่ผลลัพธ์ของการกระทำที่ถูกประเมินได้ ความรับผิดชอบเชิงสถาบันก็สลายไป วาทกรรมนี้ทำงานในฐานะระบอบความจริงตามที่ในการกำหนดสิ่งใดสมควรหรือไม่สมควร และตัดเสียงขัดแย้งให้เงียบหาย ขณะเดียวกันระบบคิดสองทางก็ทำให้สังคมเชื่อได้พร้อมกันว่าการปราบปรามคือความเมตตา เสรีภาพคือภัยคุกคาม จนความจริงและความเท็จกลืนเข้าหากัน

           เมื่อถูกท้าทาย เผด็จการในคราบคนดียังใช้ภาพลวงตาว่า “ดีกว่า ประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยนักการเมืองฉ้อฉล” เพื่อปิดกั้นจินตนาการทางการเมืองอื่น ทั้งที่ประชาธิปไตย แม้แต่ในรูปแบบที่บกพร่องก็ยังมีกลไกเรียนรู้และแก้ไขตนเอง การปลด “คนดี” ลงจากแท่นบูชาจึงไม่ใช่เพียงภารกิจเชิงศีลธรรม หากเป็นเงื่อนไขขั้นต่ำในการป้องกันไม่ให้เผด็จการสวมเครื่องแบบผู้พิทักษ์คุณธรรมเข้ายึดครองเมืองโดยไม่ต้องส่งรถถังออกมาสักคัน


รายการอ้างอิง

Bayat, A. (2010). Life as politics: How ordinary people change the Middle East. Stanford University Press.

Bourdieu, P. (1977). Outline of a theory of practice. Cambridge University Press.

Collins. (n.d.). Benevolent dictator. Collins English Dictionary. https://www.collinsdictionary.com/us/dictionary/english/benevolent-dictator

Foucault, M. (1977). Truth and power. In C. Gordon (Ed.), Power/knowledge: Selected interviews and other writings, 1972–1977 (pp. 109–133). Harvester Press.

Fukuyama, F. (2014). Political order and political decay: From the industrial revolution to the globalization of democracy. Farrar, Straus and Giroux.

Kershaw, I. (2008). Hitler: A biography. W. W. Norton & Company.

Levitsky, S., & Ziblatt, D. (2018). How democracies die. Crown Publishing Group.

Orwell, G. (1949). Nineteen eighty‑four. Secker & Warburg.

Scott, J. C. (1985). Weapons of the weak: Everyday forms of peasant resistance. Yale University Press.

Zakaria, F. (1997). The rise of illiberal democracy. Foreign Affairs, 76(6), 22–43.


ผู้เขียน
วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์
นักวิจัย  ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ เผด็จการ คนดี วาทกรรม อำนาจนิยม วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา