เรื่องเล่าจากปากผี: ชาติพันธุ์วรรณนาสยองขวัญ (Gothic Ethnography)

 |  พืช สัตว์ สิ่งของที่มากกว่ามนุษย์
ผู้เข้าชม : 1568

เรื่องเล่าจากปากผี: ชาติพันธุ์วรรณนาสยองขวัญ (Gothic Ethnography)

สิ่งที่เราเห็นนั้นมันคืออะไรกัน เสียงที่ได้ยินมันน่ากลัวจนตัวสั่น

กลิ่นที่ได้รับมันเป็นกลิ่นอะไรนั่น เรื่องจริงหรือความฝันภาพยังจำติดตา

704 - ดาจิม

 

           เสียงเพลงดังกล่าวลอยตามลมผ่านโถงทางเดินมืด ๆ ที่ประตูห้องทั้งสองฟากเต็มไปด้วยผ้ายันต์สีแดง เลขอักขระโบราณและรูปพระเกจิ ในวันที่ผู้เขียนขนย้ายสัมภาระเข้าพักอาศัยใน อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งย่านฝั่งธนบุรีเมื่อปีกลาย

           ตึกหลังนี้สูง 9 ชั้น ตั้งโดดเด่นอยู่ริมคลองสายเล็กที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางชุมชนที่เคยเป็นแหล่งที่อยู่ของคนจีน ซึ่งอพยพเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ หลายระลอก บ้างรับจ้างทำเรือกสวนไร่นาที่ฝั่งธนนี้ บ้างข้ามไปเป็นจับกังแรงงานที่ฝั่งพระนคร บางส่วนที่พอตั้งตัวได้และมีทุนรอนก็ขายของชำหรือขายอาหารบนเรือ โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยว เมื่อมีการตัดถนนผ่านซึ่งเชื่อมต่อกับถนนหลักหลายสายที่มุ่งตรงเข้าเมืองช่วงทศวรรษ 2510-2520 ชุมชนย่านนี้ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป มีอาคารสำนักงานราชการ อาทิ สถานีตำรวจ สำนักงานเขต และกรมต่าง ๆ มาตั้ง บ้านไม้เปลี่ยนเป็นอาคารพาณิชย์ที่ด้านล่างเป็นร้านค้าหรือร้านอาหารซึ่งย้ายขึ้นมาจากเรือ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย บางบ้านที่ลูกหลานเรียนจบสูงและมีหน้าที่การงานดีก็ย้ายออกไป บ้านเก่า ๆ กลายเป็นห้องพักราคาถูก ปล่อยเช่าเดือนละ 1,800-3,500 บาท ผู้เช่าส่วนมากคือคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในเมืองหลวง แต่มีรายได้ไม่สูงนัก เช่น แรงงานภาคบริการ หาบเร่แผงลอย ขับรถโดยสาร ขณะเดียวกันที่ดินบางแปลงก็งอกเป็นแฟลตหรืออพาร์ตเมนต์ที่คิดค่าเช่าสูงขึ้นหน่อย แต่ไม่เกิน 5,000 บาท สำหรับข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน หรือนักศึกษาในละแวกนี้

           หากไม่นับเสียงเครื่องยนต์ของเรือหางยาวที่ให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วงเสาร์-อาทิตย์ตอนกลางวัน เสียงโทรทัศน์หรือเสียงเพลงที่นาน ๆ ทีจะดังแว่วมา บรรยากาศของที่นี่ก็เงียบสงบเหมาะสำหรับวัยทำงานที่ต้องการพักผ่อนและวัยเรียนที่ต้องใช้สมาธิอ่านหนังสือหรือเขียนรายงาน ทว่าภายใต้ความสงบนี้ก็อวลไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด กลิ่นพิลึกพิลั่น และความเงียบนี้บางทีก็เงียบจนน่าขนลุก

           แสงวาบปรากฏบนหน้าจอในคืนหนึ่ง พร้อมข้อความจากรุ่นพี่ร่วมคณะซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ย้ายออกนานนับปีแล้วว่า “เจอดีอะไรบ้างยัง?”

           ยังไม่ทันจะส่งคำตอบ เธอก็ส่งข้อความมาอีก “ชั้นที่เอ็งอยู่มีผีสิง เขาลือกันทั่ว ถึงกับมีคนเล่าออกเดอะโกสต์ ไม่กลัวบ้างเหรอ”

           ผู้เขียนซึ่งเป็นนักมานุษยวิทยาหนุ่มไม่ได้ตอบกลับ ยิ้มพลางส่ายหัว คิดในใจว่าพลอตเรื่องเดิม ๆ อีกแล้ว ตึกเก่า ๆ ที่ไหนในเมืองใหญ่แออัดจะไม่เคยมีคนตายบ้าง ผีมีจริงที่ไหน เรียนมาตั้งเยอะ ผีเป็นแค่สิ่งประกอบสร้างทางสังคมเท่านั้นแหละ คนเล่าเรื่องผีก็เพื่อจัดการความทรงจำบาดแผลหรือเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยชำระสะสางก็แค่นั้น ถึงว่าทำไมชื่อที่ป้ายตึกกับชื่อในบัญชีที่จ่ายค่ามัดจำไม่ตรงกัน คงเปลี่ยนไม่ให้คนกลัว ดีเสียอีกที่ได้หอพักถูก ๆ เดินทางสะดวกและใกล้รถไฟฟ้าตั้งขนาดนี้

           แต่เมื่อผล็อยหลับไป คืนนั้นผู้เขียนฝันเห็นกระเป๋าเดินทางสีดำ


กระเป๋าผีสิง ห้องผีสิง คดีฆาตกรรม: ภววิทยาของผีกับการสิงสู่สิ่งของและสถานที่

           เรื่องเริ่มขึ้นกลางดึกคืนหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน ในห้องสูทสุดทางเดินของชั้น 7 เลขหน้าห้องคือ 712A เพราะเลข 13 ดูอัปมงคลเกินไปที่จะใช้สำหรับที่อยู่อาศัย ด้านในมี 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 2 ห้องน้ำ และ 2 ระเบียงที่ฝั่งหนึ่งหันหน้าออกหาคลอง ผู้เช่าคือคู่รัก ฝ่ายชายวัย 40 ปลาย ๆ เคยเป็นสถาปนิก แต่วันหนึ่งเกิดเส้นเลือดแตก เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากนัก ภรรยาสาวที่อายุน้อยกว่าเกือบหนึ่งรอบและไม่ได้ทำงานประจำ จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ดูแล ทั้งหาข้าวหาน้ำ ปัดกวาดเช็ดถู อาบน้ำเช็ดตัว ตลอดจนซื้อเบียร์ให้สามีดื่มเป็นประจำ

           เธอน่าจะเหนื่อยหน่ายกับภาระและเครียดหนัก เริ่มหันเข้าหาลัทธิความเชื่อบางอย่าง โต๊ะข้างเตียงเปลี่ยนเป็นที่วางธูป เทียน พวงมาลัย ดอกไม้ และรูปเคารพ ประตูกระจกฝั่งระเบียงมีผ้ายันต์สีเหลือง แต่ดูเหมือนที่พึ่งทางใจไม่ได้ช่วยบรรเทาความทุกข์นัก เธอยังดื่มแอลกอฮอล์ไม่ต่างจากสามี ที่ต่างก็คือเธอเสพยาด้วย ระยะหลัง ห้องข้าง ๆ มักได้ยินทั้งคู่มีปากเสียงกันอยู่เสมอ บางวันที่ทะเลาะกันหนัก เธอจะเข็นร่างสามีไปวางไว้ตรงโถงทางเดินชั้น 7 บ้าง ชั้น 6 บ้าง ชั้น 5 บ้าง แล้วออกไปสังสรรค์ตามวงไพ่ เมื่ออารมณ์เย็นลงจึงพากลับเข้าห้อง

           แต่คืนนั้นเองราวตีหนึ่ง เสียงทะเลาะดังขึ้นเช่นเคย แต่ครั้งนี้เสียงเงียบลงเร็วกว่าทุกครั้ง สาเหตุก็เพราะภรรยาซึ่งอยู่ในอาการเมาจากหลายขนาน ใช้ไขควงแทงท้ายทอยของสามีจนสุดแรง เลือดกระเซ็นเปรอะตามหัวเตียงและฝาผนัง เธอแทงซ้ำอีกครั้งที่หลัง ก่อนใช้มีดทำครัวชำแหละ ตัดส่วนหัว ข้อมือ และข้อเท้าข้างหนึ่ง ใส่ถุงพลาสติกหนา แล้วเอาไปโยนทิ้งในคลองหลังตึก ส่วนลำตัวก็ยัดลงกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ ซึ่งเธอหมายจะหิ้วลงไปทิ้งข้างนอก กว่าที่เธอจะชำแหละศพเสร็จก็เป็นเวลารุ่งสางพอดี เธอแจ้งย้ายออกกะทันหัน แต่กระเป๋านั้นหนักจนยกไม่ไหว เธอจึงเรียกให้ยามช่วย อ้างว่าเป็นหนังสือและเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่จะเอาไปบริจาค สุดท้ายความก็แตก เมื่อยามผิดสังเกตและเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างในจนถึงกับผงะ เพียงครู่เดียว ตำรวจก็แห่กันมาจาก สน. ที่อยู่ปากซอยเพื่อจับกุมเธอ

           หากเป็นชาติพันธุ์วรรณนาทั่วไป เรื่องก็คงจบลงตรงนี้ แต่นี่คือชาติพันธุ์วรรณนาแนวทดลองที่ตัวแสดงไม่ได้มีแค่มนุษย์ ความตายจึงเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดจบ

           เธอถูกคุมตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ แต่เหมือนสติไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยา ความเชื่อ ความสะเทือนใจหรือทั้งหมดรวมกัน เธอให้ปากคำว่า ตนเป็นร่างทรงเทพเจ้า และต้องกำจัดสามีซึ่งเป็น ‘มารเฒ่า’ ตามคำบัญชา จู่ ๆ เธอก็หมดสติล้มฟุบลงท่ามกลางบรรดาไทยมุง เพื่อนข้างห้อง ผู้พักอาศัยชั้น 7 และอาจรวมถึงชั้นอื่นด้วย เริ่มทยอยย้ายออกจนแทบไม่เหลือ บางห้องที่ยังอยู่ก็ได้ยินเสียงลากกระเป๋าในเวลากลางคืน แม้ผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งกล่าวเชิงขำขันว่า เป็นเสียงขนของหนีของผู้เช่ารายอื่น แต่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ไม่ใช่เสียงที่เกิดจากมนุษย์แน่ มีเรื่องเล่าของผู้เช่าที่ประสบพบเจอกับสิ่งลี้ลับต่างกรรมต่างวาระ

           ห้องเกิดเหตุถูกปิดตายลงและล็อกกุญแจแน่นหนา เจ้าของหอไม่ให้ใครเช่าห้องนั้นอีก แม้เคยมีตำรวจนิรนามมาขอเช่าเพื่อเปิดให้คนเล่นพนันก็ตาม มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาและเปลี่ยนชื่อหอพักเสียใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล

           ทว่าเรื่องหลอนก็ไม่ได้จบลง วันดีคืนดี กระเป๋าเดินทางซึ่งเป็นของกลางที่เก็บไว้ในห้องสิบเวร ก็สำแดงเดช ขณะที่ดาบตำรวจรายหนึ่งกำลังเข้าเวรกลางดึกคนเดียว จู่ ๆ กระเป๋าใบนั้นก็หมุนรอบตัวเองหลายรอบ โดยไม่มีใครไปแตะต้องมัน ที่จริงจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก เพราะนายดาบเชื่อว่ากระเป๋าไม่ได้หมุนเอง แต่มีคนทำให้หมุน และใครคนนั้นก็ไม่ใช่ ‘คน’ กระเป๋าจึงถูกย้ายไปไว้ในห้องขังชั้น 2 คราวนี้คนที่เจอดีคือผู้ต้องขัง บางคนรู้สึกราวกับมีใครจ้องมอง แม้คืนนั้นเขาจะถูกขังอยู่คนเดียว บางคนก็ได้ยินเสียงร้องกลางดึก (น่าสนใจว่าเป็นเสียงผู้หญิง ทั้งที่ศพในกระเป๋าเป็นผู้ชาย) จนอยู่ไม่สุข ต้องขอให้ตำรวจเปิดไฟในห้องขังตลอดทั้งคืน ในที่สุดเพื่อความสบายใจของทุกคนที่โรงพัก กระเป๋าดังกล่าวก็ถูกย้ายขึ้นไปไว้ในห้องน้ำชายชั้น 4 ที่แทบไม่มีใครใช้งาน หลัง 2 ทุ่มก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปแล้ว ที่ชั้นนี้ยังมีพระพุทธรูปหลายองค์ และมีผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณติดตรงทางขึ้นอีกทีราวกับจะสะกดข่มดวงวิญญาณไว้ รวมทั้งยังมีการทำบุญใหญ่ของโรงพักเป็นประจำทุกปี แต่ก็ไม่มีใครกล้านำกระเป๋าไปทิ้งสักที

           ดูเหมือนพิธีกรรมต่าง ๆ ไม่ได้คลายความเฮี้ยนลง แม่บ้านที่ขึ้นไปทำความสะอาดมักพบว่า กระเป๋าไม่เคยตั้งอยู่ที่เดิมเลยสักครั้ง รวมถึงตำรวจนอกพื้นที่ ซึ่งถูกเรียกตัวมาปฏิบัติภารกิจในกรุงเทพฯ เช่น รับเสด็จในกิจกรรมปั่นจักรยาน งานอุ่นไอรักคลายความหนาว หรือเป็นหน่วยควบคุมฝูงชนในช่วงที่มีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองปี 2563-2564 ก็ต้องอาศัยวัดหรือโรงพักเป็นที่พัก ตำรวจที่นอนใน สน. นี้ ต่างก็เจอดีจนอกสั่นขวัญหายไปหลายราย ข่าวลือเรื่องกระเป๋าผีสิงและห้องผีสิงแพร่สะพัดไปทั่ว และกลายเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญบนโลกอินเทอร์เน็ตในเฟซบุ๊ก ยูทูบ โดยเฉพาะรายการยอดนิยมอย่างเดอะโกสต์เรดิโอ ในที่สุดเมื่อผู้กำกับสถานีตำรวจคนใหม่มาถึง ก็สั่งให้เอากระเป๋าไปทำพิธีฌาปนกิจเหมือนอย่างศพมนุษย์ที่วัดใกล้ ๆ และนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสวดปัดเป่าวิญญาณ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าวิญญาณนั้นได้สงบลงแล้ว


เรื่องขนหัวลุก (Uncanny)

           ผู้เขียนสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงคนกระซิบพึมพำที่ข้างหู เหลียวซ้ายขวาไม่เห็นใคร ได้ยินแต่เสียงเพลงที่ลอยมาจากห้อง 712A ที่อยู่ตรงข้าม แม้ภาพกระเป๋าสีดำในฝันยังไม่จาง แต่ก็ยังกล้าพอจะเปิดประตูออกไป เคาะห้องปิดตายนั้นหลายครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับใด แม้แต่เสียงเพลงเมื่อกี้ก็หายไป

           ‘ผีมีจริงที่ไหนกัน’ ผู้เขียนคิด ความกังวลเริ่มคลายลง อาจเพราะฤทธิ์เบียร์ 4 กระป๋องเมื่อตอนค่ำ จึงใช้มือดึงผ้ายันต์เก่า ๆ สีซีดจางหน้าห้องนั้นจนขาด และใช้ทั้งเท้าและตัวดันประตูจนสุดแรงเพื่อจะพิสูจน์ให้ประจักษ์ชัด

           แต่แล้วขณะที่ประตูเริ่มแง้มออกจนเผยให้เห็นสภาพภายในห้อง ผู้เขียนก็บังเกิดความเครียดอีกครั้ง เพราะถ้าผีเป็นสิ่งประกอบสร้างทางสังคมจริง และตามสันนิษฐานเบื้องต้น ห้องนั้นอาจถูกใช้เป็นแหล่งทำเรื่องอะไรเทา ๆ สักอย่างอยู่ก็ได้ แล้วไอ้คนที่อยู่ในห้องจะละเว้นเราหรือ?

           แต่ภายในห้องนั้นว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน เตียงนอน โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า และเครื่องปรับอากาศถูกรื้อออกหมดแล้ว มีเพียงผ้ายันต์ติดอยู่เหนือประตูระเบียงที่ไม่มีบานกระจกแล้ว ลมเย็นเหนือลำคลองลอยปะทะหน้าอย่างแผ่วเบา แต่ห้องก็อวลด้วยกลิ่นของดอกไม้เก่า ๆ กลิ่นธูปและเทียนจาง ๆ กลิ่นอับเหม็นคล้ายตัวอะไรตายอยู่ใต้ฝ้า อุณหภูมิลดลงต่ำเรื่อย ๆ จนขนของผู้เขียนลุกเกรียวทั่วร่าง

           ห้องยังว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้เขียนมองไม่เห็นผีสักตัวหรือคนสักคน จึงกลับเข้านอน แล้วก็ฝันอีกครั้ง

           แน่ละ ในฝันมีกระเป๋าเดินทาง


ชาติพันธุ์วรรณนาสยองขวัญ

           นักมานุษยวิทยาหนุ่มคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องขนหัวลุกนี้ เท่าที่ศึกษามา ผีไม่ใช่ประเด็นแปลกใหม่ของงานศึกษาสายสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะงานด้านมานุษยวิทยาที่ศึกษาผีในฐานะระบบความเชื่อชนิดหนึ่ง เช่น ผีบรรพบุรุษ วิญญาณที่สิงตามต้นน้ำป่าเขา ซึ่งคอยกำกับพฤติกรรมของมนุษย์

           อย่างไรก็ดี งานศึกษาเหล่านี้มองผี วิญญาณ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นเพียงสิ่งประกอบสร้างทางสังคม (social construction) ซึ่งผีอาจมีหน้าตาแตกต่างกันไปตามแต่ละวัฒนธรรม (เข้าข่ายพวกสัมพัทธนิยมเชิงวัฒนธรรม (cultural relativism)) หรือมิฉะนั้นก็เป็นการอธิบายแบบปฏิฐานนิยม ซึ่งแปลงผีให้อยู่ในรูปสิ่งที่ยอมรับได้ในทางวิทยาศาสตร์ หรือไม่ก็เป็นการพิสูจน์ว่าผีไม่มีจริง (Klima, 2019)

           ที่ผ่านมา โลกวิชาการสายสังคมศาสตร์แทบไม่เคยยอมรับว่าผีมีตัวตน (entity) ทั้งในภาคสนามและในงานเขียน และแทบไม่มีงานศึกษาที่ใช้ผีเป็นกรอบวิเคราะห์หรือตัวดำเนินเรื่องมากนัก อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจAlan Klima (2019) อธิบายว่า เนื่องจากนับตั้งแต่ยุคก่อตั้งสาขาวิชา สังคมศาสตร์พยายามใช้วิธีการหาความจริงแบบวิทยาศาสตร์หรือแบบ ปฏิฐานนิยม และพยายามแยกตัวจากการเขียนงานแบบเรื่องแต่งหรือนวนิยาย ด้วยการค้นหาและบันทึกข้อเท็จจริงทางสังคม (social reality) เพื่อขยายพรมแดนของความรู้ และแทนที่สิ่งที่ยังไม่รู้ด้วยข้อมูลใหม่ ๆ ที่ได้จากการสังเกตการณ์ สังคมศาสตร์ยุคแรก ๆ พยายามแยกสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมออกจากสิ่งที่ผู้คนเชื่อถือแบบผิด ๆ (หรืองมงาย) กล่าวอีกนัยก็คือ สังคมศาสตร์ต้องการค้นหาและนำเสนอความจริงทางสังคมเพื่อขจัดปัดเป่าเรื่องเล่าทางสังคมที่เป็นเท็จ (social fiction) (Klima, 2019: 24) ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งเมื่อนักสังคมศาสตร์พยายามวิพากษ์ความรู้แบบปฏิฐานนิยมก็ตกหลุมพรางของการประกอบสร้างทางสังคมแทน แม้จะเขียนเรื่องผี แต่ก็เพื่อตอกย้ำว่าสิ่งลี้ลับเหล่านี้เป็นเพียงภาพสะท้อน (reflection) เป็นเพียงสิ่งประกอบสร้าง หรือเป็นเพียงข้อเท็จจริงทางสังคมแบบหนึ่งเท่านั้น

           Alan Klima จึงวิจารณ์ขนบการเขียนงานวิชาการตามขนบข้างต้นว่า ยังยึดติดกับกรอบแบบสัจนิยม (realist frame) และยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งกีดกันผีที่เป็นสิ่งไม่อาจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ออกไป รวมทั้งยังไม่ได้พิจารณาผีหรือสิ่งลี้ลับในเชิงภววิทยา (ontology) ซึ่งมีสถานะเป็นผู้กระทำการทางสังคมในตัวมันเอง ไม่ได้เป็นเพียงภาพแทนของอะไรบางอย่างที่จริงกว่า นับเป็นเรื่องน่าเสียดายทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันนักมานุษยวิทยาต่างก็พูดกันถึงจุดเปลี่ยนทางภววิทยา (ontological turn) และมานุษยวิทยาพ้นมนุษย์ และที่สำคัญ นักมานุษยวิทยาจำนวนไม่น้อยก็ทำงานภาคสนามในพื้นที่ที่ภูตผีและวิญญาณเป็นภววิทยาที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันของผู้ให้ข้อมูล ไม่เว้นแม้แต่สังคมเมืองที่ซับซ้อน เป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลก มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าหรือเคลื่อนสู่โลกดิจิทัลแล้วก็ตาม (Good, Chiovenda and Rahimi, 2022: 444)

           แล้วเราจะเขียนหรือนำเสนอโลกภววิทยาของผีอย่างไร?

           ใน Ethnography #9 (2019) Klima เสนอให้เขียนงานชาติพันธุ์วรรณนาสยองขวัญ (Gothic ethnography) ซึ่งใช้ ‘เรื่องเล่าจากปากผี’ หรือนำเสนอปรากฏการณ์ทางสังคมจากมุมมองของผี เพื่อนับรวมบทบาทของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (nonhuman) ในฐานะผู้กระทำการทางสังคมด้วย เรื่องเล่าของ Klima นั้นทั้งน่าขนลุก เกินจริง และแทบไม่น่าเชื่อเลย แต่กลับสั่นคลอนสมมติฐานทางภววิทยา เปิดบทสนทนาและชวนให้นักมานุษยวิทยาย้อนพินิจเกี่ยวกับการทำงานของตน

           งานชาติพันธุ์วรรณนาแนวทดลองของ Klima ไม่เพียงแต่ยอมรับสิ่งที่ไม่เคยถูกยอมรับว่ามีจริง (inadmissible) แต่ยังพยายามขยายสิ่งที่นับได้ว่าเป็นงานเขียนที่ยอมรับได้ในทางวิชาการด้วย (Klima, 2019: 16) วิธีการที่น่าสนใจคือ Klima หยิบยืมเทคนิคของงานวรรณกรรม ซึ่งเอื้อให้สิ่งที่สุดจะพรรณนา (unspeakable) และสิ่งที่เหลือจะเชื่อ (unbelievable) ได้มีโอกาสพูด เนื่องจากเห็นว่าสังคมศาสตร์ยังขาดเครื่องมือทำความเข้าใจสิ่งที่มีอยู่ แต่ไม่ปรากฏให้เห็น (nonpresent presence) การเขียนชาติพันธุ์วรรณนาสยองขวัญจึงปลดปล่อยวิญญาณ ซึ่งดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ในหลายมิติ และปรากฏอยู่ทั่วทุกปรากฏการณ์ทางสังคม จากการถูกกดทับและกีดกันโดยวิธีการใช้ภาษาแบบปฏิฐานนิยม ซึ่งมักล้มเหลวในการทำความเข้าใจภววิทยาของคนอื่นที่ไม่ใช่ชาวตะวันตก (Klima, 2019: 22)

           เรื่องเล่าของ Klima สลับสับเปลี่ยนไปมาระหว่างมุมมองของนักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญทฤษฎีทางสังคมศาสตร์กับวิญญาณเด็กสาวที่เข้าสิงร่างคน ซึ่งเป็นวิธีเล่าที่ท้าทายเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ปรากฏ (present) กับสิ่งที่ไม่ปรากฏ (absent) สิ่งที่มีจริงกับสิ่งที่ไม่มี (หรือมีแต่มองไม่เห็น) เรื่องจริงกับเรื่องแต่ง จินตนาการ (unreal) กับความเป็นจริง (real) พูดอีกแบบคือ Klima ใช้ผีเป็นตัวแสดงเชิงภววิทยาที่ล่องลอยไปมาระหว่างความเป็นจริงหลายแบบ หรือผีคือสิ่งที่อยู่ท่ามกลางหรือระหว่าง (in-between) ภววิทยาต่าง ๆ นั่นเอง (Klima, 2019: 19)

           การใช้คำว่าสยองขวัญหรือ gothic ยังมีนัยถึงเรื่องเล่าที่ให้ความรู้สึกเหนือธรรมชาติ ทำให้สิ่งที่เราคุ้นเคยดูแปลกไปจนน่าขนลุก (uncanny) หรือทำให้สิ่งที่ไม่คุ้นเคยอย่างผีเป็นสิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันและมีสถานะเหมือนมนุษย์ในเรื่องเล่า การปรากฏของผีในเรื่องทำให้โลกสมัยใหม่ที่อ้างว่าสิ้นมนต์ขลังไปแล้ว (disenchantment) ดูแปลกไปและไม่จริง (irreal) และถึงที่สุดแล้วคือการทำให้โลกสมัยใหม่กลับมามีมิติลี้ลับอีกครั้ง (reenchantment) Klima ยังตั้งคำถามอย่างเจ็บแสบถึงขนบการเขียนงานชาติพันธุ์วรรณนาด้วยการสลายเส้นแบ่ง หรือทำให้เส้นพร่าเลือนว่า ใครมีชีวิตหรือเคยมีชีวิต ใครเป็นคน ใครเป็นผี ใครเป็นผู้บรรยาย ใครเป็นตัวละคร และใครเป็นผู้เขียนกันแน่ (Klima, 2019: 29)

           อาจกล่าวได้ว่า ผีสร้างการสั่นไหวทางภววิทยา (ontological quivering) ให้แก่ผู้คนซึ่งอยู่ในสนามที่เราศึกษา นักมานุษยวิทยาพ้นมนุษย์เตือนเอาไว้ว่า ผัสสะของมนุษย์ไม่ได้มีแค่ดวงตา เวลาผู้คนเจอผี มันก็ไม่เคยเริ่มจากการมองเห็น แต่มาในรูปเสียงแปลก ๆ กลางดึกดื่น อากาศที่จู่ ๆ ก็หนาวจนขนลุกซู่ กลิ่นเหม็นสาปที่โชยมาจากไหนก็ไม่รู้ อาการประหลาดอื่น ๆ ที่เกิดกับร่างกายหรือจิตใจ อาการสั่นเทิ้มอย่างไม่รู้สาเหตุ และผียังสร้างสภาวะหลอกหลอนซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก และผัสสะ (affective state) ที่มักเกี่ยวกับความทรงจำเลวร้าย เหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือความไม่เป็นธรรมทางสังคม รวมถึงความวิตกกังวลต่ออนาคตที่ไม่แน่นอนด้วย (Good, Chiovenda and Rahimi, 2022: 439-440)

           ผีทำให้เรามองโลกที่ผู้ให้ข้อมูลอาศัยอยู่จากมุมมองที่ต่างออกไป การเล่าเรื่องผีซ้ำ ๆ อาจเป็นวิธีเจรจาต่อรองของผู้คนที่อยู่ระหว่างอดีตที่ไม่น่าจดจำและอนาคตที่ไม่มั่นคง (Murphy, 2018) งานชาติพันธุ์วรรณนาจึงไม่ควรละทิ้งน้ำเสียงแห่งความหลอกหลอน (hauntological voice) ความเป็นอวัตถุของผี (immateriality) และผีสภาวะ (spectrality) และนักมานุษยวิทยาควรมองผีในฐานะสิ่ง (thingness) ที่สร้างความขนพองสยองเกล้า ไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงอุปมาอุปไมย เสียง กลิ่น หรือการปรากฏที่มองไม่เห็น แต่ทำงานกับผัสสะอื่น ๆ ของผี จึงทั้งย้ำเตือนและสั่นคลอนสิ่งที่นักมานุษยวิทยเคยยึดถือ ซึ่งจะส่งผลต่อวิธีการทำงานของเรา ทั้งการพิจารณาข้อมูลภาคสนามและการถ่ายทอดออกมาเป็นงานชาติพันธุ์วรรณนา

           ทั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของนักมานุษยวิทยาที่จะพิสูจน์ว่าผีมีจริงหรือไม่ แต่งานของเราคือพิจารณาผีในฐานะผู้กระทำการทางสังคม และพิจารณาว่าปรากฏการณ์เจอผีและเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีเกี่ยวพันกับมิติทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจหรืออำนาจแบบใดบ้าง ในแง่นี้ Avery F. Gordon (1997) ตั้งชื่อเรื่องหนังสือไว้ได้ดีมากว่า Ghostly Matter เพราะเรื่องผี สางนั้นสำคัญ และยังส่งผลกระทบต่อโลกมนุษย์และโลกทางกายภาพ เช่นที่ Klima และนักมานุษยวิทยาพ้นมนุษย์แสดงให้เห็นว่า มือที่มองไม่เห็นของผีปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความคิด และมุมมองของมนุษย์ได้อย่างไร เผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับรัฐ มนุษย์กับทุนนิยม มนุษย์กับความเชื่อ รวมถึงอะไรต่อมิอะไรได้อย่างไร แม้เราจะไม่เห็นผี แต่ก็เห็นได้ชัดถึงความเป็นผู้กระทำการของมัน เมื่อรอยนิ้วมือลี้ลับแตะลงบนประสบการณ์ของมนุษย์

           นอกจากนี้ ผีซึ่งลองล่อยอยู่ ณ รอยต่อ (in-between-ness) ของความเป็นจริงกับเรื่องเล่า ระหว่างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับสิ่งที่ผู้คนบอกเล่าว่าเกิดขึ้น ระหว่างประวัติศาสตร์ฉบับทางการกับประวัติศาสตร์กระแสรอง ก็เป็นภววิทยาที่ส่งผลต่อการเมืองของความทรงจำ โดยเฉพาะในสังคมที่มีบาดแผล (trauma) อีกทั้งผียังสะท้อนการดำรงอยู่ของมนุษย์ร่วมสมัยด้วย อาทิ การอยู่ผิดที่ผิดทาง (displacement) ไม่คุ้นเคย (unfamiliar) การย้ายที่อยู่ทั้งที่เต็มใจหรือไม่เต็มใจ หรือพูดถึงที่สุดแล้วก็คือความแปลกแยก (alienation) ของชีวิตมนุษย์สมัยใหม่ รวมถึงความเปราะบางในชีวิตที่ไม่มีสวัสดิการอย่างการรักษาแบบประคับประคองที่ดีเช่นที่สถาปนิกหนุ่มประสบ เช่นที่ผู้อยู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์หลังนี้หลายคนรู้สึก ไม่สิ ผู้คนอีกไม่น้อยในเมืองใหญ่ซึ่งต่างก็เข้ามาหางานทำก็น่าจะรู้สึก

           ดังนั้น ในประเทศที่เต็มไปด้วยความทรงจำบาดแผลและผีเช่นนี้ นักมานุษยวิทยาจึงสมควรพิจารณาผีเสียใหม่ในทางภววิทยา และนำเสนอผ่านงานชาติพันธุ์วรรณนาที่โอบรับสิ่งไม่ใช่มนุษย์เหล่านี้ด้วย ไม่แน่ว่า การกีดกันผีออกจากเรื่องเล่าอาจถือเป็นความรุนแรงเชิง ญาณวิทยา (epistemic violence) ที่กระทำต่อผู้ให้ข้อมูลชนิดหนึ่งก็ได้


มานุษยวิทยา-ผี-สิง ผี-สิง-มานุษยวิทยา

           ไอ้หนุ่มนี่บอกว่าเป็นนักมานุษยวิทยา สนใจแต่เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ มันเลยไม่สนใจสิ่งที่วิทยาศาสตร์หรือแนวคิดตะวันตกบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ มองไม่เห็นตัว และดังนั้นจึงไม่มีจริง เช่น ผี มันถึงกับเคยมาท้าทายและดึงผ้ายันต์ที่หน้าห้องออก

           เห็นมันพิมพ์อะไรของมันในคอมฯ มีแต่ศัพท์แสงที่ไม่เข้าใจ พ้นมนุษย์ ภววิทยา ฯลฯ ข้าไม่เคยได้ยินเลยสักคำ เห็นมันพึมพำว่าผีเป็นเพียงสิ่งสมมติที่สะท้อนความเชื่อทางสังคมหรือโครงสร้างทางสังคมอะไรสักอย่าง ข้าก็ไม่เข้าใจ มันท้าทายอยู่หลายรอบ แต่ข้าไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าต่อหน้า มันก็เลยปักใจว่าข้าไม่มีจริง มันไม่เชื่อเรื่องผี เพราะมองไม่เห็นตัวข้า แต่ข้าเหลือบเห็นสิ่งที่มันจดในบันทึกภาคสนามอย่างคำว่า ทุนนิยม ชาติ เสรีนิยมใหม่ หรือคำอังกฤษอะไรยาก ๆ ก็มองไม่เห็นตัวในชีวิตเหมือนกันนี่ แล้วทำไมมันจึงเชื่อว่ามี?

           ถ้ามันเชื่อว่าของพวกนั้นส่งอิทธิพลกับชีวิตคนได้ จึงมีจริง แล้วทำไมไม่เชื่อว่าผีอย่างข้าก็มีจริงด้วย ทำไมมันไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่า เสียงลากเก้าอี้ลากโต๊ะตอนกลางคืนดังออกมาจากห้องที่ไม่มีคนอยู่ได้อย่างไร ก็ผู้เช่าในชั้น 7 นี้ย้ายออกไปหมดเพราะข้าตั้งนานแล้ว มันไม่เคยสงสัยเหรอว่า ทำไมถึงได้ยินเสียงเพลงแว่วมาบ่อย ๆ ก็ข้าเองนั่นแหละแฟนตัวยงของดาจิม มันจะรู้ไหมว่าทำไมบางค่ำคืนถึงมีกลิ่นอับลอยโชยผ่านห้อง ทำไมบางคืนจึงรู้สึกหนาวสั่นยะเยือก และทำไมจึงผวาขนลุกซู่กลางดึกเสมอ

           แล้วคนอ่านล่ะไม่เอะใจเหรอ ทำไมมันถึงเล่าเรื่องคดีฆาตกรรมได้เป็นฉาก ๆ ทำไมมันรู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ปรากฏในข่าว ทั้งที่เรื่องก็ดังออกขนาดนั้น หากไม่ใช่ข้าเองที่สิงร่างมันเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น


เอกสารอ้างอิง

Bauserman, K. (2022). Seeing and Speaking to Ghosts: Hauntology’s Limits for Understanding

Ghosts as Beings. Retrieved from https://www.jhiblog.org/2022/09/12/seeing-and- speaking-to-ghosts-hauntologys-limits-for-understanding-ghosts-as-beings/

Good, B. J., Chiovenda, A., Rahimi, S. (2022). The Anthropology of Being Haunted: On the

Emergence of an Anthropological Hauntology. Annual Review of Anthropology, 51,

437-453.

Gordon, A. (1997). Ghostly Matters: Haunting and the Sociological Imagination. Minneapolis:

University of Minnesota Press.

Klima, A. (2019). Ethnography #9. Durham and London: Duke University Press.

Leathem, H. M. V. (2019). Ghostly Excesses: Ethnography and Experimental Cinema. Retrieved

from https://culanth.org/fieldsights/everything-is-full-of-ghosts-experimental-cinema-and-ethnography

Murphy, F. (2018). The Whispering of Ghosts: Lost, Longing, and the Return in Stolen

Generations Stories. Australian Journal of Anthropology, 29(3), 332.


ผู้เขียน
ปิยนันท์ จินา
นักวิจัย  ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ ผี ชาติพันธุ์วรรณนา สยองขวัญ Gothic ethnography ปิยนันท์ จินา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา