เหตุใดชาติพันธุ์ไทอีสานจึงไม่ขัดแย้งกับรัฐไทย : อ่านการเมืองของรัฐและชาติพันธุ์ไทในเมืองชายแดน

 |  ชาติพันธุ์ อัตลักษณ์
ผู้เข้าชม : 632

เหตุใดชาติพันธุ์ไทอีสานจึงไม่ขัดแย้งกับรัฐไทย : อ่านการเมืองของรัฐและชาติพันธุ์ไทในเมืองชายแดน

           ประเด็นรัฐกับการจัดการชนกลุ่มน้อยหรือชนชาติพันธุ์ในไทยวางอยู่บนความสัมพันธ์ทางอำนาจแนวดิ่งเป็นหลัก ชนชาติพันธุ์หลายพื้นที่ต้องเผชิญการกลืนกลายให้เป็นคนไทย กระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมทั้งในเชิงกายภาพ วัฒนธรรม และในเชิงกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนหรือการพัฒนาชีวิตที่เหมาะสมกับคนท้องถิ่น รัฐไทยนิยมไล่รื้อ แย่งยึด และเพิกสิทธิต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการจัดการทรัพยากรท้องถิ่นสร้างผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งปัญหาความขัดแย้งในการปกครองของรัฐไทยที่มีต่อชนชาติพันธุ์แนวนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศทั้งพื้นที่ภายในและบริเวณตะเข็บชายแดน

           อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับกลุ่มชาติพันธุ์มักไม่ปรากฏในชาติพันธุ์ไทในภาคอีสาน ความสัมพันธ์ขัดแย้งระหว่างรัฐและคนในภูมิภาคนี้ส่วนมากเกิดขึ้นบนคำอธิบายฐานคิดความเป็นลาวหรืออัตลักษณ์ลาวระดับภูมิภาคเป็นหลัก (ethno-regionalism) ประเด็นนี้สืบเนื่องตั้งแต่การจำแนกชาติพันธุ์ไทในภาคอีสาน ซึ่งมีการแบ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้แก่ ไทลาว ไทย้อย ไทญ้อ ไทกะเลิง ไทแสก ไทพวน และผู้ไท ฐานข้อมูลบางแห่ง เช่น ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายว่าชาวไทลาว (Tai-Lao) หรือชาวอีสานจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาไต-กะไดเป็นชนกลุ่มใหญ่ และมีวัฒนธรรมสูงกว่ากลุ่มอื่น(ดู ฐานข้อมูลฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ในอีสานในศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น)

           ปัญหาด้านความรับรู้ประการหนึ่งของการศึกษาคนภาคอีสานคือการยึดเอาอัตลักษณ์ผู้คนระดับภูมิภาคเป็นหน่วยการศึกษาคู่ความสัมพันธ์กับหน่วยการปกครองส่วนกลางหรือกรุงเทพฯ การยึดอัตลักษณ์ระดับภูมิภาคทำให้ความรับรู้ของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ผู้คนอิงอยู่กับชาติพันธุ์ไทลาวซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ คนไทอีสานกลายเป็น 'ชาวอีสาน' ดังที่ปรากฏในคำอธิบายชาติพันธุ์ไทลาวโดยศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่นข้างต้น

           ฉะนั้นเมื่อเกิดประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยและ'คนในภาคอีสาน' จึงมักถูกศึกษาภายใต้คู่ความขัดแย้งของ "อีสาน" กับ "รัฐไทย"

           การไม่แยกแยะคนชาติพันธุ์ไทลาวและคนในภาคอีสานทำให้คนอีสาน-ชาติพันธุ์ไทลาว-อัตลักษณ์แบบลาวอีสานเป็นสิ่งเดียวกันหรือรูปอัตลักษณ์ของผู้คนแบบเดียวกันทั้งภูมิภาค ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือเหตุการณ์ 'วันเสียงปืนแตก' ซึ่งเกิดขึ้นในชาวผู้ไทอำเภอเรณูนคร แต่ชาติพันธุ์ผู้ไทไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวเลย (วิมล, 2566)

           ชาติพันธุ์ไทอื่น เช่น ไทย้อย ไทญ้อ ไทกะเลิง ไทแสก ไทพวน และผู้ไท จึงดูเหมือนจะหลุดลอยออกจากกรอบสมการการวิเคราะห์คู่ความสัมพันธ์ขัดแย้งต่อรัฐไทย เหตุใดชาติพันธุ์ไทอีสานจึงไม่ขัดแย้งกับรัฐไทย ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและชนชาติพันธุ์ไทในอีสานมีความสัมพันธ์ที่ราบเรียบ หรือสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นถูกต่อรองหรือจัดการในรูปแบบใด


ชาติพันธุ์และความมั่นคงของรัฐไทย

           การทำความเข้าใจประเด็นนี้ต้องมองผ่านพื้นที่และบริบทเฉพาะ ย้อนมองความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยและกลุ่มชาติพันธุ์ ยุคสงครามเย็นถือเป็นบริบทการเปลี่ยนแปลงการเมืองที่มีผลสำคัญต่อการจัดการพลเมืองชาติพันธุ์โดยรัฐอย่างเข้มข้น

           ในบทความเรื่อง Ethnicity and the Politics of Ethnic Classification in Thailand (2003) โดยปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ชี้ว่าในยุคสงครามเย็น รัฐไทยจัดการควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ภายใต้แนวคิดการสร้างความมั่นคงของชาติทำให้มีการจัดการจำแนกกลุ่มชนชาติพันธุ์ (ethnic classification) เช่นกลุ่มที่เป็นปัญหา สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายอธิปไตยของชาติ ในขณะเดียวกันรัฐก็พยายามใช้มาตรการการกลืนกลายคนกลุ่มน้อยบางกลุ่มให้กลายเป็นคนเชื้อชาติไทยทั้งในแง่วัฒนธรรมและกฎหมาย

           กรณีพื้นที่ชายแดน รัฐไทยได้เข้าควบคุมการเคลื่อนย้ายของชนกลุ่มน้อยและผู้ลี้ภัยชายแดนอย่างเข้มงวด เนื่องจากสถานการณ์การเมืองเอเชียอาคเนย์ช่วงทศวรรษ 2500 สร้างความอ่อนไหวในชายแดนไทยทั่วประเทศ รัฐบาลจึงมีการดำเนินนโยบายต่อต้านปฏิบัติการคอมมิวนิสต์ข้ามพรมแดน (Laungaramsri, 2003) เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองโดยใช้ตัวแบบศูนย์กลางความเป็นไทยเป็นชุดอุดมการณ์หลัก

           ชนกลุ่มน้อยที่รัฐไทยหมายถึงมีกลุ่มใดบ้าง ตัวอย่างเช่น ชาวเขา ชาวจีน ชาวไทยมุสลิม รวมถึงชาวญวณอพยพ แต่ไม่มีชาวลาว นักวิชาการอีสานรุ่นบุกเบิกมองว่าเหตุที่ชาวลาวไม่ถูกจัดอยู่ในวาทกรรมชนกลุ่มน้อยของรัฐไทย คนกลุ่มนี้ถูกมองบนฐานความแตกต่างทางภูมิภาคหรือเป็นชาติพันธุ์ระดับภูมิภาค (ethno-regionalism) มากกว่าจะเป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อย (ethnic minority) (Keyes, 1967b) ในบริบทภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มชาวลาว (Lao) จึงไม่ปรากฏอยู่ในวาทกรรมชนกลุ่มน้อยที่ถูกสร้างโดยรัฐไทยแต่อย่างใด (Laungaramsri, 2003)

           อย่างไรก็ตาม แม้ชาวลาวในอีสานจะไม่ถูกนับว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในภูมิภาค แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ราบรื่นกับรัฐไทยแต่อย่างใด ไม่นับประเด็นความขัดแย้งไทย-ลาวที่เกิดขึ้นเสมอในภูมิภาคนี้ อัตลักษณ์แบบลาวระดับภูมิภาคยังเผชิญปัญหาการกลืนกลายเป็นไทยเฉกเช่นเดียวกันพื้นที่อื่น และหากพิจารณาภาพรวมการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์วัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่ นับตั้งแต่ช่วงอาณานิคม ราชสำนักสยามเปลี่ยนสัญชาติให้คนลาวต่าง ๆ เป็นไทยในทางกฎหมาย ผลสืบเนื่องจากกระบวนการดังกล่าวที่ไม่มีท่าทีว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์กลายเป็นปัญหาสืบเนื่องจนถึงยุคหลังสงครามโลก รัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ใช้ตรรกะความมั่นคงของชาติจัดวางชาติพันธุ์ลาวอีสานแบบภูมิภาคเพื่อตอบสนองการควบคุมอุดมการณ์การเมืองคนอีสานที่มีเชื้อชาติใกล้ชิดกับคนลาวในบริบทยุคสงครามเย็น (ดู Keyes, 1967a)

           อัตลักษณ์แบบลาวอีสานยังถูกเทน้ำหนักการวิเคราะห์ควบคู่สัมพันธ์กับบทบาทรัฐไทย กระทั่งเกิดอีสานศึกษายุคสงครามเย็น กระบวนการศึกษาวิชาการสังคมศาสตร์สมัยใหม่เกี่ยวกับภาคอีสาน (วิมล โคตรทุมมี, 2566) พลังการเมืองระดับภูมิภาคได้ทำให้นักวิชาการหลงใหลการวิเคราะห์อีสานบนฐานคู่ความขัดแย้งกับรัฐตลอดเวลา ในแง่นี้ สำหรับรัฐไทยกับอีสานจึงอยู่ในระนาบของหน่วยทางสังคมระดับภูมิภาคกับศูนย์กลางประเทศ ซึ่งแม้จะก่อให้เกิดพื้นที่การต่อรองทางการเมืองภูมิภาคมากขึ้น แต่ในทางการศึกษาวิธีคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นภาพองค์รวม (holistic) ซึ่งเป็นระบบความรู้แบบองค์รวมของอีสานศึกษาที่มีรากฐานจากการมองชาติพันธุ์แบบภูมิภาคเป็นหลัก (พัฒนา กิติอาษา, 2546) การไม่คลี่คลายความทับซ้อนระหว่างมิติทางชาติพันธุ์ (ethnicity) และเชื้อชาติ (race) รวมถึงการใช้และการอ้างความเป็นลาวระดับภูมิภาคท้ายสุดนำไปสู่การปิดบังและมองไม่เห็นชาติพันธุ์อื่นที่ไม่ได้เนื้อเดียวกันกับความเป็นลาวกระแสหลัก เช่น ชาวผู้ไท หรือชาวกูย เป็นต้น (Laungaramsri, 2003) (วิมล โคตรทุมมี, 2566)


เมืองชายแดนชาติพันธุ์ การเมืองชาติพันธุ์ไท และรัฐบาล

           บางพื้นที่ในภาคอีสาน โดยเฉพาะเมืองชายแดน เช่น จังหวัดนครพนม ที่อยู่ติดประเทศลาวและใกล้เคียงประเทศเวียดนามทำให้มีการอพยพไปมาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ผู้เขียนมองว่าจังหวัดนครพนมมีลักษณะเป็นเมืองชายแดนชาติพันธุ์ (borderland of ethnicity) ที่มีพหุอัตลักษณ์วัฒนธรรมจากผู้คนหลายเชื้อชาติ-ชาติพันธุ์

           แต่ภายใต้สถานการณ์การเมืองเอเชียอาคเนย์ช่วงทศวรรษ 2500 เมืองชายแดนชาติพันธุ์นครพนมกลายเป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงภัยการเมืองที่รัฐบาลต้องเฝ้าระหว่างการบ่อนเซาะทำลายอธิปไตยของชาติจากประเทศคอมมิวนิสต์ลาวและเวียดนาม เหตุการณ์การปะทะกันระหว่างสหายคอมมิวนิสต์และเจ้าหน้าที่รัฐไทยครั้งแรกในปี 2507 ก็เกิดขึ้นในจังหวัดนี้ การเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคงสูงทำให้มีหน่วยงานทางการทหารของสหรัฐอเมริกาเข้าจัดการสำรวจข้อมูลเชิงลึกของจังหวัดในทุกมิติ (เก่งกิจ กิติเรียงลาภ, 2562) ความเข้มงวดของรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐในนครพนมมีผลต่อการจัดการกลุ่มชาติพันธุ์ไทต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

           แล้วความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยต่อกลุ่มชาติพันธุ์ไทในเมืองชายแดนปรากฏในรูปใด

           ในที่นี่จะยกกรณีการศึกษาชาวผู้ไท ชนกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ในจังหวัดนครพนม ประวัติศาสตร์แบบกระชับของชาวผู้ไทเรณูนคร ชาติพันธุ์ผู้ไทอพยพมาจากลาวในช่วงก่อนหน้าเหตุการณ์เจ้าอนุวงศ์ ชาวผู้ไทเรณูนครมักอ้างว่ากลุ่มของตนสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองลาวดั้งเดิม เมื่อต้องสร้างชาติพันธุ์ใหม่ในเขตบริเวณวัดพระธาตุพนมนับตั้งแต่ช่วงอาณานิคมจนถึงยุคสงครามเย็นชาวผู้ไทเรณูจึงต้องแข่งขันการสถาปนาอำนาจนำของชาติพันธุ์ในพื้นที่ เป็นผลให้พวกเขามักมีความขัดแย้งกับกลุ่มคนอื่น เช่น ชาวธาตุพนม เป็นต้น ผู้เขียนมองว่าประเด็นการสร้างความเป็นใหญ่ของชาติพันธุ์ในชายแดนเมืองนครพนมในหลายระยะ ส่งผลต่อการจัดวางความสัมพันธ์ของชาติพันธุ์ผู้ไทเรณูนครกับรัฐไทยในบริบทช่วง 2500 พอสมควร

           ในแง่นี้ นับตั้งแต่ที่รัฐบาลไทยเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง แม้ชาติพันธุ์ผู้ไทเรณูนครจะถูกยกระดับเป็นชาติพันธุ์ระดับอำเภอแต่พวกเขาก็ต้องสูญเสียอัตลักษณ์ชาติพันธุ์จากกระบวนการกลืนกลายอัตลักษณ์ของรัฐบาลไทยโดยใช้อัตลักษณ์ลาวเป็นตัวแบบ ฉะนั้น ภายใต้ความมั่นคงทางการเมืองในระดับภูมิภาค รัฐไทยจะยึดการมองอัตลักษณ์ลาวเป็นตัวแบบองค์รวมของอัตลักษณ์ผู้คนทั่วภูมิภาค ในขณะเดียวกันเมื่อจัดการกับชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ไทต่าง ๆ รัฐไทยจะใช้รูปแบบทางการปกครองเปลี่ยนชนกลุ่มน้อยที่มีอำนาจทางต่อรองต่ำให้กลายเป็น'คนไทย'

           อย่างไรก็ตาม ในระยะที่ความขัดแย้งทางการเมืองยุคสงครามเย็นทวีความเข้มข้นขึ้น การทำให้เป็นไทยและการยึดตัวแบบอัตลักษณ์อีสานระดับภูมิภาคไม่เป็นผลดีทั้งกับรัฐไทยและชาวผู้ไท อัตลักษณ์ลาวอีสานที่รัฐไทยจัดวางเป็นคู่ตรงข้ามไทย-ลาวได้ย้อนกลับมาสร้างปัญหาทางการเมืองแก่รัฐไทยจากความเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์ที่ช่วงชิงความเป็นลาวในการอ้างความคล้ายคลึงทางเชื้อชาติ และต่อชาติพันธุ์ผู้ไท การทำให้เป็นไทยนอกจากก่อให้การสูญเสียอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เป็นระยะ อำนาจจากศูนย์กลางประเทศยังได้ลดทอนอำนาจการช่วงชิงพื้นที่ชาติพันธุ์ของชาวผู้ไทที่มีต่อกลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

           จุดเปลี่ยนประเด็นนี้สัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในการทำสงครามจิตวิทยา การสร้างอุดมการณ์รัฐชาติ และการสร้างสถาบันเป็นศูนย์กลางความเป็นปึกแผ่นในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอีสาน (ณัฐพล ใจจริง,2552) Charles Keyes มองว่าบทบาทของสถาบันหลักชาติไทยที่เดินสู่พื้นที่ชายแดนนครพนมมีผลมากในการสร้างความภักดีทางความรู้สึกของคนอีสานต่อชาติไทย ลักษณะทางชาติพันธุ์และความเป็นชาติพันธุ์ของคนอีสานจึงไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกันแต่อย่างใด บทบาทของสถาบันหลักของชาติได้เปลี่ยนความรู้สึกของชาวอีสานให้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย แม้ว่าคนอีสานจะมีลักษณะชาติพันธุ์ลาวก็ตาม (Keyes, 1966)

           การแยกสำนึกออกจากอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในการวิเคราะห์ของ Keyes (1966) สะท้อนในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยและชาติพันธุ์ผู้ไทระยะนี้ได้เป็นอย่างดี ผนวกกับการแข่งขันการสถาปนาอำนาจนำชาติพันธุ์ในบริเวณวัดพระธาตุพนม และผลจากปัญหาอัตลักษณ์ลาวระดับภูมิภาคที่ย้อนกลับมาสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐไทย เป็นผลให้ชาวผู้ไทเรณูนครและรัฐไทยจัดวางความสัมพันธ์ที่มีต่อกันใหม่ โดยเริ่มจากการชนชั้นนำไทยหันมาให้ความสำคัญกับชนกลุ่มน้อย หน่วยงานจังหวัดนครพนมได้มอบหมายให้ทางอำเภอต่าง ๆ จัดแสดงวัฒนธรรมชนเผ่าของตนแก่ในหลวงและราชินีที่เดินทางมายังพื้นที่ชายแดนจังหวัดนครพนมช่วงปี 2498 ชาวผู้ไทจึงได้แสดงฟ้อนผู้ไทของตนต่อหน้าประมุขของชาติ

           เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของชาติพันธุ์ไทในภาคอีสานที่ได้เปิดเผยตัวตนออกมาต่อหน้ากษัตริย์และราชินี และเป็นการเปิดเผยตัวตนชาติพันธุ์ในฐานะผู้ภักดี (loyalist) ที่มิใช่ภัยคุกคามหรือชนกลุ่มน้อยที่เป็นปัญหาภายใต้อุดมการณ์การปกครองของรัฐไทย ปฐมบทใหม่ทำให้ผู้นำชาติพันธุ์ผู้ไทเรณูนครหันมาให้ความสนใจกับ 'อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตน' โดยการร้อยเชื่อมความสำคัญของชาติพันธุ์สู่ชาติและประมุขของชาติในการพัฒนาสังคมชาติพันธุ์ในระยะต่อมา (วิมล โคตรทุมมี, 2566)

           เช่นเดียวกันกับบทบาทของชนชั้นนำและรัฐไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐไทยเปลี่ยนกลยุทธ์การจัดการชาติพันธุ์ในบางลักษณะ รัฐไทยทำการแตกตัว (identity fragmentation) หรือแยกอัตลักษณ์คนอีสานในระดับชาติพันธุ์ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ชนิดใหม่ที่ไม่ได้ผูกขาดเพียงแต่ความเป็นลาว กระบวนการปั่นป่วนอัตลักษณ์ลาว รัฐต้องกระทำในแบบที่สามารถควบคุมได้หรือกำหนดทิศทางการพัฒนาชาติพันธุ์เพื่อการรักษาความมั่นคงทางการเมืองของประเทศ (เรื่องเดียวกัน.)

           ฉะนั้น หลังช่วงปีพ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ในชุมชนชาติพันธุ์ผู้ไทจึงเกิดเหตุการณ์การ 'ตีแกว' การขับไล่ชาวเวียดนามที่อพยพมาอยู่ในเรณูนครเนื่องจากพวกเขาเอารูปพระเจ้าแผ่นดินไทยไว้ต่ำกว่ารูปของโฮจิมินห์ หรือเหตุการณ์วันเสียงปืนแตก 7 สิงหาคม 2508 เหตุใดเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นที่บ้านนาบัว ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายขอบของชาวผู้ไทเรณูนคร เนื่องจากศูนย์กลางชาติพันธุ์ผู้ไทปฏิเสธคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน อย่างเช่น สหายภูมี ให้อาศัยอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางชาติพันธุ์ ทำให้เขาต้องย้ายไปอยู่ในเขตรอยต่อพื้นที่ชาวผู้ไทกับชาติพันธุ์อื่น หรือแม้แต่งานวิชาการในระยะนี้ก็ล้วนแล้วแต่ผลิตสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ผู้ไทให้ล้อไปกับชาติพันธุ์ของชาติ โดยทำการเติม 'ย' จากชื่อ "ผู้ไท" เป็น "ผู้ไทย" เพื่อทำให้ชาติพันธุ์แห่งนี้อยู่ในอาณัติความเป็นไทยทุกมิติ


ส่งท้าย

           ในสถานการณ์ปัจจุบัน ภาพความเรียบเนียนในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยและชาติพันธุ์ไทอีสานมิใช่ว่าปราศจากความขัดแย้งในการปกครองอย่างสมบูรณ์ กรณีพลวัตและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ผู้ไทสะท้อนความพยายามต่อรอง จัดการความขัดแย้ง หรือการไกล่เกลี่ยความไม่ลงรอยกันกับรัฐไทยอยู่เสมอ

           การที่ชาติพันธุ์ผู้ไทกลายเป็นชาติพันธุ์ที่ภักดีต่อรัฐไทยทั้งทางสำนึกและกระบวนการพัฒนาอัตลักษณ์ระยะหลังยุคสงครามเย็นเป็นต้นมาวางอยู่บนเหตุผลการเมืองภายในและการเมืองภายนอก ปัจจัยการเมืองภายในเป็นผลจากกระบวนการการทำให้คนกลุ่มน้อยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐ การเปิดพื้นที่ให้ชาติพันธุ์มีอำนาจในการจัดการอัตลักษณ์วัฒนธรรมแต่ก็ต้องควบคุมสำนึกและอุดมการณ์ทางการเมืองของชาติพันธุ์แบบชาติไทย ด้านปัจจัยการเมืองภายในของชาติพันธุ์ผู้ไท การแข่งขันการสถาปนาอำนาจนำชาติพันธุ์ในเมืองชายแดนนครพนมทำให้ชาติพันธุ์ผู้ไทต้องเล่นการเมืองโดยอิงอยู่กับการสร้างชาติพันธุ์ตามแผนการของชาติไทย ผลคือชาติพันธุ์ผู้ไทเรณูนครพัฒนาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ชายแดนได้เร็วกว่ากลุ่มอื่น และกลายเป็นชาติพันธุ์หลักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจังหวัด

           กระทั่งชายแดนความมั่นคงได้เปลี่ยนเป็นชายแดนการท่องเที่ยวแบบเสรีนิยมใหม่ ความเคลื่อนไหวชาติพันธุ์ในเทศกาลประเพณีระดับจังหวัดโดยมีหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นสนับสนุนเบื้องหลัง เกิดการจัดระเบียบชนชาติพันธุ์ให้ปรากฏตัวในพื้นที่การท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและมีแบบแผน ปรากฏการณ์เหล่านี้คือภาพสะท้อนผลลัพธ์การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและชาติพันธุ์ในเมืองชายแดน แนวทางการเมืองของสร้างฐานอำนาจชาติพันธุ์โดยการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติไทย


บรรณานุกรม

เก่งกิจ กิติเรียงลาภ. (2562). เขียนชนบทให้เป็นชาติ กำเนิดมานุษยวิทยาไทยในยุคสงครามเย็น. กรุงเทพฯ: มติชน.

ณัฐพล ใจจริง. (2552). การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500).วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

พัฒนา กิติอาสา. (2546). วิจัยอีสาน : วิธีวิทยากับการศึกษาพลังทางสังคมในภาคอีสาน. นครราชสีมา: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.

วิมล โคตรทุมมี. (2566). การเมืองชาติพันธุ์ในชีวิตประจำวันของชาวผู้ไทเรณูในบริบทอีสานแบบภูมิภาคนิยม. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

Laungaramsri, Pinkaew. (2003). Ethnicity and the politics of ethnic classification in Thailand. In Colin MacKerras, (e.d.). Ethnicity in Asia (pp. 157-173). London and New York: Routledge.

Keyes, Charles. (1966) . Ethnic Identity and Loyalty of Villagers in Northeastern Thailand. Asian Survey, 6(17). 362-369.

Keyes, Charles. (1967a) . Isan: Regionalism in Northeaster Thailand. Ithaca: Cornell-Thailand Project. Interim Reports Series. Number 10. Date Paper: Number 65. Southeast Asia Program. Department od Asia Studies. Cornell University.

Keyes, Charles. (1967b). Cultural Diversity and National Identity in Thailand. in Michael, Brown and Sumit, Ganguly (e.d.s). Government Policies and Ethnic Relations in Asia and the Pacific (pp. 197-232). London: The MIT Press Cambridge.


ผู้เขียน
วิมล โคตรทุมมี
นักวิชาการอิสระ
โครงการสานพลังนิเวศน์วิจัยและขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ระดับนโยบายและปฏิบัติงานด้านกระบวนการยุติธรรม สร้างธรรมาภิบาล และการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้


 

ป้ายกำกับ ชาติพันธุ์ไทอีสาน รัฐไทย ความขัดเเย้ง ชายแดน วิมล โคตรทุมมี

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา