เพื่อนร่วมเตียง (FWB) กับสนามที่เอียงข้าง: เสรีภาพที่ไม่เสมอภาคและการเมืองของ Friends with Benefits

 |  วัฒนธรรมร่วมสมัย
ผู้เข้าชม : 598

เพื่อนร่วมเตียง (FWB) กับสนามที่เอียงข้าง: เสรีภาพที่ไม่เสมอภาคและการเมืองของ Friends with Benefits

“มันเป็นเพียงการละเล่นทางกายภาพ เหมือนกับการเล่นเทนนิส”
- Friends with Benefits (2011)

บทนำ: เกมที่ถูกทำให้ดูเบา

           “FWB ไม่ต่างไปจากการเล่นเทนนิส ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่มีความรู้สึก มีเพียงเซ็กส์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน” นี่อาจเป็นความเข้าใจที่เราได้จากภาพยนตร์ Friends with Benefits (2011) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่มุกตลกหรือการเปรียบเทียบเบาสมอง หากแต่เป็นภาพแทนของวัฒนธรรมกระแสหลักที่ความพยายามนำเสนอให้ความสัมพันธ์แบบ FWB (Friends with Benefits) เป็นความสัมพันธ์ที่ปราศจากภาระที่มาพร้อมกับความสัมพันธ์แบบชู้สาว นั่นคือไม่ต้องมีความผูกพันหรือความรับผิดชอบต่ออีกฝ่ายมากนัก ทว่าภาพแทนดังกล่าวนี้ชวนให้ขบคิดว่าเป็นการตลาดของความสัมพันธ์แบบใหม่ที่เชิดชูเสรีภาพทางเพศ ท่ามกลางบริบททางสังคมและสมัย ที่องค์ประกอบของความรักโรแมนติกลายเป็นภาระที่เกินจำเป็น ในขณะที่การเป็นมนุษย์เองก็ไม่อาจสลัดทิ้งความใคร่และกามารมณ์ไปได้ใช่หรือไม่

           ในสายตาของคนจำนวนหนึ่ง ความสัมพันธ์แบบ FWB ถูกทำให้กลายเป็นคำตอบของการใช้ชีวิตที่ต้องการทางลัดจากมิตรภาพไปสู่ความใกล้ชิดทางเพศ ที่คนเป็นเพื่อนสามารถให้ผลประโยชน์ทางกายได้โดยไม่จำเป็นต้องแลกกับความรับผิดชอบทางความสัมพันธ์และความรู้สึก อย่างไรก็ตาม ดังที่จูดิธ บัทเลอร์ (Judith Butler) (1990) เสนอว่า ไม่มีเพศสภาพและอัตลักษณ์ใดดำรงอยู่นอกกรอบของอำนาจ เราจึงไม่อาจมีเพศและอัตลักษณ์ที่ปราศจากการเมือง หากแต่ซ่อนการเมืองไว้ได้อย่างแนบเนียนและลุ่มลึกหรือไม่เท่านั้น ในทัศนะเช่นนี้ FWB จึงไม่ได้เป็นพื้นที่ของความสัมพันธ์ที่ราบเรียบ หากแต่เป็นเวทีที่อำนาจในความสัมพันธ์ของคนที่ไม่มีวันรู้สึกเท่ากันทำงานอย่างเงียบงัน สาระสำคัญจึงไม่ใช่ว่า FWB คือการขยับขยายหรือเสรีภาพแบบใหม่ของความสัมพันธ์หรือไม่ แต่คือใครบ้างที่ถูกจัดวางให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยพอที่จะเล่นในกติกาของเกมนี้ และใครบ้างที่ต้องจ่ายราคาจริง ๆ แม้จะถูกอธิบายว่าเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่แต่ละฝ่ายมีสิทธิเลือกได้เองก็ตาม ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นอิสระสำหรับใคร และเป็นกับดักสำหรับใคร


เพื่อนที่มีกติกา: ความพร่าเลือนและการต่อรอง

           แม้คำว่า Friends with Benefits จะถูกทำให้โด่งดังจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดในปี 2011 ที่ให้ความเข้าใจว่า FWB คือความสัมพันธ์ทางเพศที่พัวพันกับมิตรภาพ แต่จริง ๆ แล้ว แนวคิดแบบนี้มีร่องรอยมาตั้งแต่ยุค 90 อย่างในเพลง Head over Feet ของอลานิส มอริสเซตต์ (Alanis Morissette) ที่สื่อเป็นนัยว่ามิตรภาพและความใคร่ไม่จำเป็นต้องแยกจากกัน สิ่งที่น่าสนใจจากสาระดังกล่าวคือ FWB อาจไม่ได้เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน แต่เป็นการให้ชื่อเรียกเชิงการตลาดกับความสัมพันธ์ที่ผู้คนจำนวนหนึ่งทำกันอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ รูปแบบความสัมพันธ์แบบนี้ได้ถูกทำให้เป็นตัวแบบของเกมและกติกาที่พร้อมให้คนเลือกหยิบไปเล่น

           ไม่ค้างคืน ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถ้ามีแฟนแล้วให้บอก และหยุดถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มรู้สึกมากกว่าเพื่อน มักเป็นกติกาคร่าว ๆ ของความสัมพันธ์แบบ FWB ที่ทำให้คนสองคนสามารถรักษาสถานะแบบเพื่อนไว้ได้ แต่สามารถเพิ่มการมีเพศสัมพันธ์เข้าไปในขอบเขตความเป็นเพื่อน อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความสัมพันธ์แบบนี้ ความเป็นเพื่อนกับปฏิบัติการของความเป็นคู่รักมักจะถูกทำให้พร่าเลือน เพราะบางครั้งความรู้สึกโรแมนติกก็มาก่อนแล้วค่อยกลายเป็นความสัมพันธ์ทางเพศแบบไม่ผูกมัด หรือบางครั้งความสัมพันธ์ทางเพศก็มาก่อนแล้วความรู้สึกรักที่จำเป็นต้องควบคุมหรือเก็บซ่อนไว้ค่อยแทรกตามมาทีหลัง ความพร่าเลือนเช่นนี้ส่งผลให้ในความเป็นจริง FWBกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีกติกาตายตัว แต่เปิดให้เพื่อนร่วมเตียงแต่ละคู่ต่อรองเงื่อนไขของตนเอง ทว่าความพร่าเลือนนี้ไม่ได้ไร้ความหมายทางอำนาจ การบอกว่า FWB คือสิ่งที่ทุกคนสามารถมีและนิยามเองได้ ฟังดูเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ แต่ในความจริงกลับกลายเป็นพื้นที่ที่ใครบางคนมีสิทธิ์จะนิยามและต่อรองได้มากกว่าอีกฝ่ายเสมอ

           พอล มงโก และคณะ (Paul Mongeau et al,) (2013; 2016) พยายามสร้างแผนที่ของความสัมพันธ์แบบ FWB โดยจำแนกออกเป็น 7 ประเภท ตั้งแต่เพื่อนแท้ที่มีเซ็กส์ด้วยกัน ไปจนถึงคนที่เคยคบหากันแล้วลดสถานะมาเป็นเพื่อนร่วมเตียง ในเบื้องต้น การจำแนกนี้อาจดูเหมือนการสำรวจและจัดประเภทที่เป็นกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับสะท้อนว่า แม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ของคนสองคนก็ยังไม่สามารถหนีไปจากความพยายามที่จะควบคุม กำหนด และจัดวางให้เป็นระเบียบได้ FWB แต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็น “แค่เรื่องเพศ” ที่ตัดอารมณ์ออกไปเกือบทั้งหมด หรือ “การเปลี่ยนผ่านสำเร็จ” ที่เซ็กส์กลายเป็นประตูสู่ความรักโรแมนติกแบบที่เรื่องราวในภาพยนตร์ข้างต้นนำเสนอ แสดงให้เห็นได้ว่า FWB ไม่เคยเป็นสิ่งที่แน่นิ่ง แต่คือพื้นที่ของการต่อรองที่เปราะบางตลอดเวลา ผู้ที่มีอำนาจมากกว่ามักจะสามารถกำหนดว่า ความสัมพันธ์นี้จะหยุดอยู่ตรงไหน หรือพัฒนาไปต่อได้หรือไม่ การทำให้ FWB เป็นหมวดหมู่จึงไม่ได้ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นการเมืองเบื้องหลังว่า ใครคือคนที่ได้สิทธิ์เป็นผู้กำหนดขอบเขตและนิยามว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานับว่าเป็นแบบไหน



FWB ในเศรษฐกิจแห่งความไม่มั่นคง

           การศึกษาที่ผ่านมามักบรรยายความสัมพันธ์แบบ FWB ว่าเป็นการเลือกด้วยเจตจำนงเสรีของปัจเจกเหมือนกับการเลือกสวมเสื้อผ้าแบบหนึ่ง แทนที่จะเลือกอีกแบบ (Wentland & Reissing 2011; Mongeau et al. 2013, 2016) แต่หากมองให้ลึกลงไป การเลือกนี้กลับเกิดขึ้นในโลกที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ระบบเศรษฐกิจและหน้าที่การงานที่ไม่มั่นคง ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่พุ่งสูง ตลอดจนอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อเงื่อนไขเหล่านี้บีบคั้น ความสัมพันธ์แบบ FWB อาจไม่ได้สะท้อนเสรีภาพมากเท่ากับการแสดงออกของเงื่อนไขความเปราะบางที่รายล้อมในฐานะบริบททางสังคมร่วมสมัย อาเมีย ศรีนิวาสัน (Amia Srinivasan) (2021) ชี้ว่าความยินยอม (consent) อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือลวงที่ทำให้ความสัมพันธใด ๆ ที่ได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่ายนั้นเสรีและยุติธรรม ทว่าในโลกของความเป็นจริง การยินยอมดังกล่าวมักเกิดขึ้นภายใต้บริบทของอำนาจ ความเปราะบาง และแรงกดดันทางวัฒนธรรมอยู่เสมอ ลองพิจารณาเรื่องเล่าต่อไปนี้

           บ่ายวันเสาร์ ณ ร้านกาแฟเงียบ ๆ แห่งหนึ่งในย่านกลางเมืองเต็มไปด้วยเสียงคนทำงานเปิดโน้ตบุ๊ก แต่ที่มุมโต๊ะริมหน้าต่าง นิด (ชื่อสมมติ) และ เบส (ชื่อสมมติ) กำลังสนทนากันด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงกึ่งเล่น

           “เอานะ กติกาของเราคือ…” นิดหยิบมือถือขึ้นมาเปิดโน้ตที่เขียนไว้ล่วงหน้า

           ไม่ค้างคืน

           ใช้ถุงยางทุกครั้ง

           ถ้ามีแฟนใหม่ต้องบอก

           ถ้าเริ่มรู้สึกมากกว่าเพื่อน เราจะหยุด

           เบสหัวเราะเบา ๆ เหมือนฟังเกมโชว์ “ก็ไม่มีอะไรยุ่งยากนี่”

           นิดยิ้มแต่สายตาไม่ได้เล่นตาม เพราะข้อความนั้นไม่ได้เบาอย่างที่เธอพูดออกมา กติกาแต่ละข้อสะท้อนแรงกดดันที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นสายตาคนในออฟฟิศที่พร้อมจะซุบซิบหากเธอถูกมองว่าง่าย ความกลัวว่าจะถลำลึกในความสัมพันธ์แล้วกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ รวมถึงแรงบีบของเศรษฐกิจเมืองที่ไม่อนุญาตให้เธอแบกความสัมพันธ์ชู้สาวที่กินทั้งเวลาและเงิน

           เบสพยักหน้าตามไปเรื่อย ๆ แบบไม่คิดอะไรมากเพราะเขามีต้นทุนทางสังคมมากพอนั่นคือเพื่อนฝูงที่ไม่ตัดสิน แอปหาคู่ที่พร้อมให้เลือกใหม่ตลอดเวลา กติกาที่นิดบอกจึงไม่ใช่พันธนาการสำหรับเขา แต่เป็นแค่แนวทางคร่าว ๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

           เมื่อสังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยภาวะไร้หลักประกัน การเคลื่อนย้ายที่ง่ายขึ้นทำให้การตั้งหลักปักฐานไม่แน่นิ่ง และอนาคตกลายเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ความสัมพันธ์แบบ FWB จึงกลายเป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะปราศจากการผูกมัด ไม่ก่อหนี้ทางทรัพย์สินและเวลา ตลอดจนพร้อมจะทิ้งไว้กลางทางได้เสมอ ทว่าความเบาหวิวของความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีภาระใด ๆ เกิดขึ้น ในทางตรงกันข้าม ความเบาหวิวดังกล่าวกลับสะท้อนแรงกดดันที่ทำให้บางคนไม่สามารถแบกความสัมพันธ์นี้ได้อีกต่อไป ในแง่นี้ ความสัมพันธ์แบบ FWB จึงไม่ใช่เสรีภาพที่อาจเลือกด้วยใจเต็มเปี่ยม หากแต่เป็นผลลัพธ์ของเงื่อนไขที่บังคับให้เราเลือกบางสิ่งที่เบากว่าในโลกภายนอก แต่กลับเป็นความจริงที่หนักหน่วงในโลกภายใน


อารมณ์ เพศสภาพ และราคาที่ไม่เท่ากัน

           แม้คำโฆษณาของความสัมพันธ์แบบนี้จะทำให้ FWB ฟังดูเป็นประชาธิปไตยของความใคร่ ที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาเล่นเกมนี้ได้ แต่ความจริงกลับกลายเป็นประชาธิปไตยที่มีเกณฑ์การรับสมัครลับ ๆ อยู่แล้ว คนที่เข้าถึงความสัมพันธ์แบบนี้ได้โดยไม่ต้องระแวดระวังมากนัก มักเป็นชนชั้นกลางในเมืองที่มีต้นทุนพอจะใช้แอปพลิเคชั่นนัดเดทได้โดยไม่ต้องกังวลสายตาเพื่อนร่วมงาน หรือพอจะมีเพื่อนฝูงหรือเครือข่ายให้สรรหาผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ ในทางกลับกัน สำหรับคนบางกลุ่ม การเข้าสู่ความสัมพันธ์แบบ FWB อาจไม่ได้มีราคาที่เบาเหมือนที่คิด ความเสี่ยงในการถูกตีตราและการถูกทำให้กลายเป็นคนไม่ดีอาจมีสูงกว่ามาก ในบางกรณี ราคาทางสังคมที่ต้องจ่ายอาจกลับกลายเป็นหนักหนากว่าความสุขที่ได้รับเสียอีก ดังที่ซารา อาเหม็ด (Sara Ahmed) (2010) เสนอว่า อารมณ์ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไหลเวียนอิสระ แต่ถูกจัดระเบียบอย่างไม่เสมอภาค รอยยิ้มและความสุขแบบเดียวกัน เมื่อปรากฏในร่างผู้ชายอาจถูกนับเป็นการหว่านเสน่ห์ แต่เมื่อปรากฏบนร่างผู้หญิงกลับถูกอ่านว่าเป็นการให้ท่า FWB จึงไม่ใช่สนามของความสัมพันธ์ที่เสมอภาค แต่คือสนามที่อนุญาตให้บางร่างกายเดินเข้าสู่ความสุขได้โดยไม่ต้องจ่ายราคา ขณะที่บางร่างกายถูกบังคับให้แลกกับราคาที่ต้องจ่าย

           นักวิชาการบางกลุ่มมักสรุปผลเชิงลบของความสัมพันธ์แบบ FWB อย่างง่าย ๆ ว่าผู้ชายมักได้ประโยชน์ และผู้หญิงมักเสียประโยชน์ (Garcia et al. 2014; Owen et al. 2013) แต่การสรุปเช่นนี้คือการแปลงการเมืองให้กลายเป็นธรรมชาติ ละเลยความหลากหลายทางเพศ ลดทอนและทำให้เชื่อว่าผู้หญิงโดยกำเนิดจะเจ็บปวด ส่วนผู้ชายโดยกำเนิดจะมีความสุข ทั้งที่จริงแล้วนี่คือผลผลิตจากอำนาจที่กดทับเพศสภาพต่างหาก งานส่วนใหญ่มักอธิบายว่าสำหรับผู้หญิง FWB มักมาพร้อมราคาที่หนักหน่วง การตีตราทางสังคม และงานอารมณ์ (emotional labor) ที่ต้องแบกไว้ เช่น การจัดการความรู้สึกของตัวเองและของคู่ FWB ไปพร้อมกัน ขณะที่ผู้ชายกลับได้รับการยอมรับทางสังคม FWB กลายเป็นสนามฝึกฝนทักษะทางเพศโดยไม่ต้องกลัวเสียชื่อเสียง การให้ข้อสรุปแบบนี้จึงเป็นการผลิตซ้ำความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคม ทั้งที่ผู้ชายอาจจะต้องเป็นฝ่ายแบกรับความรู้สึก และผู้หญิงอาจเป็นผู้กำหนดกติกาก็ได้

           ขณะที่ FWB ในกลุ่ม LGBTQ+ นั้นอาจซับซ้อนกว่า บางครั้ง FWB คือพื้นที่หายใจสำหรับการทดลองอัตลักษณ์ในโลกที่ยังตีกรอบตนเองไม่ได้ แต่บ่อยครั้งกลับเต็มไปด้วยความเปราะบาง ความกดดันให้หลบซ่อน รวมถึงการถูกทำให้กลายเป็นวัตถุทางเพศที่ถูกใช้มากกว่าการเป็นตัวตนที่เลือก ราคาของ FWB จึงไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ส่วนบุคคลที่บางคนจ่าย บางคนไม่จ่าย แต่คือการเมืองของอารมณ์และเพศสภาพที่จัดเรียงตนเองใหม่อยู่เสมอ กติกาของ FWB อาจบอกได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างสองคน แต่ราคาที่ต้องจ่ายกลับถูกกำหนดโดยสังคม


เพศสภาพ อารมณ์ และราคาที่ต้องจ่าย

           เรามักจะถูกทำให้เชื่อว่า FWB มีผลลัพธ์ทางอารมณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนมีความสุข บางคนเจ็บปวด แต่การมองเช่นนี้ทำให้ต้นทุนและราคาที่ต้องจ่ายข้างต้นดูเหมือนเป็นเรื่องส่วนบุคคล ทั้งที่จริงแล้ว อารมณ์เหล่านี้ไม่เคยเป็นของส่วนบุคคลล้วน ๆ เพราะมันถูกทำให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทางอารมณ์ (affective economy) ที่ไม่เคยเป็นกลาง ความสุข ความเศร้า ความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสื่อมค่า สิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดคุณค่าไว้แล้วล่วงหน้า ใครบางคนถูกอนุญาตให้รู้สึกสุขโดยไม่ต้องจ่ายราคา ขณะที่ใครอีกคนถูกบังคับให้แบกความเศร้าไว้เป็นตราบาป ราคาที่เราพูดถึงจึงไม่ใช่เพียงน้ำตาที่ไหลรินอย่างเงียบ ๆ ในห้องนอน หากแต่คือการจัดลำดับคุณค่าในสังคมว่า อารมณ์ของใครนับเป็นเรื่องสำคัญ และอารมณ์ของใครถูกทำให้เป็นเพียงภาระที่ต้องหลบซ่อน

           คำถามที่ควรถามจึงไม่ใช่ว่า FWB ทำให้เรามีความสุขหรือไม่ เพราะความสุขไม่เคยเป็นเกณฑ์ที่เป็นกลางอยู่แล้ว คำถามที่แท้จริงคือ FWB ทำงานอย่างไรในฐานะกลไกของการอยู่รอดในโลกที่บังคับให้เราต้องเลือกเองเสมอ แม้จะเป็นการเลือกภายใต้เงื่อนไขที่บีบจนแทบไม่มีทางเลือกจริง ๆ ในระดับชีวิตประจำวัน FWB อาจถูกมองว่าเป็นเสรีภาพของร่างกาย เรามีสิทธิ์กำหนดว่าใครจะสัมผัสเรา เมื่อไร และในเงื่อนไขแบบใด แต่หากถอยออกมามองในระดับสังคม เราจะเห็นภาพสะท้อนของโลกเศรษฐกิจการเมืองที่ไม่อนุญาตให้เราแบกรับพันธะหนัก ๆ ได้อีก ดังนั้น FWB จึงเป็นทั้งเสรีภาพและพันธนาการในคราวเดียวกัน มันคือการปลดปล่อยระดับผิวเผินของเนื้อหนัง ที่ฉายให้เห็นความไร้ทางเลือกที่ฝังลึกในโครงสร้างทางสังคม


บทสรุป: เสรีภาพที่กลายเป็นพันธนาการ

           สิ่งที่ความสัมพันธ์แบบ FWB เปิดเผยให้เราเห็น ไม่ใช่เพียงรูปแบบความสัมพันธ์แบบใหม่ แต่คือการเมืองของการเข้าถึงและการจ่ายราคา บางคนได้รับเสรีภาพที่ถูกโฆษณาว่าเท่าเทียมสำหรับทุกคน ขณะที่อีกคนหนึ่งกลับถูกผลักให้จ่ายด้วยความอับอาย หรือการถูกทำให้กลายเป็นวัตถุทางเพศในสายตาผู้อื่น ดังที่บัตเลอร์ (1990) ชี้ว่า เพศสภาพไม่เคยเป็นการกระทำที่หลุดพ้นจากอำนาจ แต่คือการทำซ้ำภายใต้บรรทัดฐาน และดังที่อาเหม็ด (2010) อธิบายว่าอารมณ์ไม่เคยเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นสิ่งที่ถูกทำให้หมุนเวียนอย่างไม่เสมอภาค ความสัมพันธ์แบบ FWB จึงไม่ใช่เพียงขอบเขตใหม่ของความสัมพันธ์ หากแต่คือกระจกที่สะท้อนว่า ใครถูกจัดวางให้นับเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะมีความรู้สึกและสำรวจร่างกายของตนเองได้ และใครที่ยังคงถูกทำโทษ แม้จะอยู่ในสนามที่ประกาศตัวว่ามีสิทธิเข้าถึงได้อย่างเสรี

           การเปรียบ FWB กับการเล่นเทนนิส ที่ฟังดูเหมือนเป็นเกมตีลูกรับส่งที่มีกติกาชัดเจน มีผู้เล่นสองฝ่าย และต่างฝ่ายต่างก็เสิร์ฟให้อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสนามหญ้า ใครกันแน่เป็นผู้ตัดสินเพื่อรักษากติกา ความจริงก็คือเกมนี้มักเล่นบนสนามที่เอียงข้าง ฝ่ายหนึ่งมักถือ แร็กเก็ตที่ใหญ่กว่า มีสิทธิเลือกเสิร์ฟก่อน และเมื่อเกมจบก็สามารถเดินออกจากสนามไปได้อย่างสง่างาม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งถูกทิ้งไว้กับคราบเหงื่อ ภาระที่จะต้องเก็บกวาด กับสายตาที่คนอื่นมองเข้ามา การอุปมาเทนนิสจึงไม่ใช่การบอกว่า FWB คือเกมสนุก ๆ ที่ใคร ๆ ก็เล่นได้ หากแต่เผยว่า ใครบางคนได้มีสิทธิในสนามและกติกา ในขณะที่อีกฝ่ายถูกทำให้เล่นเกมที่แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเซ็ตแรก


รายการอ้างอิง

Ahmed, S. (2010). The promise of happiness. Durham, NC: Duke University Press.

Butler, J. (1990). Gender trouble: Feminism and the subversion of identity. New York, NY: Routledge.

Srinivasan, A. (2021). The right to sex: Feminism in the twenty-first century. New York, NY: Farrar, Straus and Giroux.

Garcia, H., Soriano, E., & Arriaza, G. (2014). Friends with benefits and psychological well-being. Procedia - Social and Behavioral Sciences, 132, 241–247.

Green, K. J., & Morman, M. T. (2008). The perceived benefits of the friends with benefits relationship. Human Communication, 14(4), 327–346.

Karlsen, M., & Træen, B. (2012). Identifying ‘friends with benefits’ scripts among young adults in the Norwegian cultural context. Sexuality & Culture, 17(1), 83–99.

Lehmiller, J. J. (2018). Tell me what you want: The science of sexual desire and how it can help you improve your sex life. Boston, MA: Da Capo Lifelong Books.

Lehmiller, J. J., VanderDrift, L. E., & Kelly, J. R. (2011). Sex differences in approaching friends with benefits relationships. Journal of Sex Research, 48(2–3), 275–284.

Lehmiller, J. J., VanderDrift, L. E., & Kelly, J. R. (2012). Sexual communication, satisfaction, and condom use behavior in friends with benefits and romantic partners. Journal of Sex Research, 51(1), 74–85.

Mongeau, P. A., Knight, K., Williams, J., Eden, J., & Shaw, C. (2011). Identifying and explicating variation among friends with benefits relationships. Journal of Sex Research, 50(1), 37–47.

Mongeau, P., van Raalte, L., Generous, M., & Bednarchik, L. (2016). Friends with benefits. In C. L. Shehan (Ed.), Encyclopedia of family studies (pp. 1–4). Hoboken, NJ: Wiley.

Owen, J., Fincham, F. D., & Manthos, M. (2013). Friendship after a friends with benefits relationship: Deception, psychological functioning, and social connectedness. Archives of Sexual Behavior, 42(8), 1443–1449.

Quiñones, R., Martínez-Taboas, A., Rodríguez-Gómez, J., & Pando, J. (2017). Friends with benefits in Puerto Rican college students. Revista Interamericana de Psicología/Interamerican Journal of Psychology, 51(1), 19–28.

Saarenmaa, E. (2013). More than just friends?: A cross-cultural study on Finnish and American friends with benefits relationships. Helsinki, Finland: Helsingin yliopisto.

Vanderheiden, E. (2021). Have a friend with benefits, whom off and on I see: Friends with benefits relationships. In C.-H. Mayer & E. Vanderheiden (Eds.), International handbook of love (pp. 155–175). Cham, Switzerland: Springer.

Wentland, J. J., & Reissing, E. D. (2011). Taking casual sex not too casually: Exploring definitions of casual sexual relationships. Canadian Journal of Human Sexuality, 20, 75–89.


ผู้เขียน
วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์
นักวิจัย  ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ เพื่อนร่วมเตียง เสรีภาพ เสมอภาค การเมือง Friends with Benefits FWB วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา