ก้าวหน้า หรือ ถอยหลัง...15 ปี บนย่างก้าว “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์”

 |  ข่าวประชาสัมพันธ์
ผู้เข้าชม : 55

ก้าวหน้า หรือ ถอยหลัง...15 ปี บนย่างก้าว “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์”

           วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2568 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ร่วมกับชุมชนชาติพันธุ์และองค์กรภาคีเครือข่ายจัดประชุม “ทบทวนบทเรียน สร้างความรู้จากชุมชน...สู่การกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ณ โรงแรมเมอร์เคียว จังหวัดเชียงใหม่ และชุมชนชาติพันธุ์บ้านดอยช้างป่าแป๋ ต.ป่าพลู อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน โดยมีผู้แทนจากชุมชนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 24 ชุมชนทั่วประเทศ ผู้แทนชุมชนชาติพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเตรียมประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน สื่อมวลชน และนักวิชาการ รวมกว่า 150 คน ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นและให้เห็นข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาแนวทางการขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่สอดคล้องและเท่าทันกับบริบทการเปลี่ยนแปลง


ภาพที่ 1 แผนที่แสดงชุมชนที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ๒๔ พื้นที่

ที่มา : จิดาภา เกตุหาร (2568)


           การจัดประชุมครั้งนี้มีวัตุประสงค์เพื่อร่วมกันทบทวนสถานการณ์การขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งในระดับพื้นที่และนโยบายท่ามกลางบริบทสังคม การเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัต และถอดบทเรียนการดำเนินงานเพื่อค้นหาปัจจัยเงื่อนไขความสำเร็จและอุปสรรคที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน

           โดยในวันแรกของการจัดประชุมได้ออกแบบให้ผู้เข้าร่วมประชุมลงพื้นที่ศึกษา แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากต้นแบบพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์บ้านดอยช้างป่าแป๋ ต.ป่าพลู อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน จากการลงพื้นที่ศึกษาต้นแบบพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าว ได้นำเสนอและเน้นย้ำให้กระบวนการบริหารข้อมูล ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยบ้านดอยช้างป่าแป๋ได้มีการพัฒนากระบวนการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรม สามารถนำเสนอให้เห็นการสืบค้นและจัดทำข้อมูลประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชนทั้งจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโส และการค้นหาเอกสารราชการเพื่อใช้อ้างอิงและยืนยันความเป็นชุมชนดั้งเดิม นอกจากนี้ยังนำเสนอให้เห็นการบริหารจัดการข้อมูลการใช้ประโยชน์พื้นที่และทรัพยากรของชุมชน โดยแบ่งเป็นการบริหารจัดการข้อมูลการทำไร่หมุนเวียน พื้นที่ไร่นาและสวนถาวร การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดเก็บข้อมูลสถิติตัวเลขสถานการณ์ต่าง ๆ ภายในชุมชน เช่น สุขภาวะชุมชน ข้อมูลคาร์บอนเครดิต เป็นต้น กระบวนการบริหารจัดการข้อมูลดังกล่าวดำเนินไปบนการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากผู้คนในชุมชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญในการสำรวจ จัดเก็บพิกัดตำแหน่ง พื้นที่ต่าง ๆ นำมาประมวลเป็นแผนที่และชุดข้อมูลที่มีความชัดเจน สามารถนำไปใช้ประกอบการอธิบาย สื่อสารต่อชุมชนและสังคมภายนอก รวมถึงพัฒนาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐในระดับพื้นที่และนโยบาย สถาบันวิชาการได้อย่างเป็นรูปธรรม การบริหารจัดการข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือและกระบวนการสำคัญที่ได้มีการเน้นย้ำให้ทุกชุมชนต้องดำเนินการเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกแบบ วางแผนและบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างการยอมรับและเข้าใจในวิถีวัฒนธรรม และการดำรงชีวิตบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาของชุมชนชาติพันธุ์สอดคล้องตามเจตนารมณ์และเป้าหมายของการเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ได้


ภาพที่ 2 ผู้เข้าร่วมประชุมร่วมรับฟังการนำเสนอข้อมูลบ้านดอยช้างป่าแป๋


           นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมและสื่อมวลชนยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน ซึ่งบ้านดอยช้างป่าแป๋ ได้มีการพัฒนาแนวกันเปียก โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายในการช่วยป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่าที่อาจจะเกิดขึ้นในผืนป่ารอบชุมชนระยะทางรวมกว่า 30 กิโลเมตร เช่น การพัฒนาแนวกันไฟสปริงเกอร์ การใช้ถังน้ำ 200 ลิตร วางตามจุดเสี่ยง เพื่อเตรียมพร้อม การขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้ในการดับไฟป่า การติดตั้งกล้อง IP camera และ Smoking censor เพื่อตรวจจับกลุ่มควันและความร้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่า ส่งสัญญาณแจ้งเตือนให้เข้าไปดับไฟหรือปล่อยน้ำตามแนวสปริงเกอร์ เหล่านี้ถือเป็นการพัฒนานวัตกรรมในการดูแลและบริหารทรัพยากรธรรมชาติที่แสดงให้เห็นการบูรณาการความรู้ภูมิปัญญาผสานกับความรู้สมัยใหม่

           ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันสรุปบทเรียนจากการศึกษาต้นแบบพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์บ้านดอยช้างป่าแป๋ โดยพบว่า การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ได้ปรากฏหลักการและแนวทางในการบริหารจัดการ 4 ด้านคือ

           1. การบริหารจัดการความสัมพันธ์ภายในชุมชน โดยต้องมีการสื่อสาร สร้างความรู้ ความเข้าใจและมองเห็นเป้าหมายของการเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกันของคนภายในชุมชน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ

           2. การบริหารจัดการข้อมูลชุมชนให้มีความชัดเจน มีรูปธรรมและเชื่อถือได้ โดยต้องมีการสำรวจ จัดเก็บ รวบรวมและประมวลชุดข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการสร้างและพัฒนาความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์กรภายนอก การวางแผนแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิต

           3. การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับชุมชนรอบข้างและหน่วยงานในพื้นที่ ถือเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องมีการสื่อสารสร้างความรู้ ความเข้าใจและยอมรับต่อการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เนื่องจากพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์มีความสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์จากพื้นที่และทรัพยากรที่อาจทับซ้อนกับเขตชุมชนหรือเขตปกครองอื่น ๆ รวมถึงการอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ซึ่งมีการประกาศใช้กฎหมายและมาตรการของหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องมีการสื่อสาร สร้างความเข้าใจและบริหารจัดการความสัมพันธ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่

           4. การบริหารทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นกระบวนการสำคัญของการเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่จะแสดงให้เห็นศักยภาพของชุมชนในการอนุรักษ์ ดูแล และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างสมดุลและยั่งยืน ดังประโยคที่ว่า “ใช้ประโยชน์ส่วนน้อย รักษาส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม”


ภาพที่ 3 ผู้เข้าร่วมประชุมร่วมแลกเปลี่ยนและสรุปบทเรียนจากการศึกษาต้นแบบพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์บ้านดอยช้างป่าแป๋


           การจัดประชุมในวันที่ 2 และ 3 ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์การจขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ในระดับพื้นที่ โดยพบว่า การประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพความเข้มแข็งของชุมชนชาติพันธุ์ในหลายพื้นที่ ให้มีความสามารถในการจัดทำฐานข้อมูลชุมชน เพื่อใช้ประกอบในการอธิบายและวางแผนดำเนินงานพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน เนื่องจากชุมชนชาติพันธุ์ส่วนใหญ่มักเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาที่เป็นผลกระทบจากการกำหนดนโยบายการพัฒนาที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายทุนกับกลุ่มชาติพันธุ์ การกำหนดนโยบายและกฎหมายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ กลายเป็นความขัดแย้งและข้อจำกัดในการดำรงชีวิต ส่งผลให้เกิดการขาดความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นกระบวนการขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับการสำรวจและจัดทำข้อมูลชุมชนจึงเป็นเครื่องมือและกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เกิดการทบทวนและจัดทำข้อมูลร่วมกันของชุมชน สามารถนำชุดข้อมูลประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตวัฒนธรรม การจัดทำแผนที่แสดงขอบเขตพื้นที่ของชุมชนไปใช้ประกอบการอธิบายและนำเสนอเพื่อสร้างความเข้าใจและยอมรับจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนเพื่อยืนยันสิทธิชุมชนดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่มาก่อน


ภาพที่ 4 ผู้เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนคิดเห็นสถานการณ์การขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกัน


           นอกจากนี้การขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ยังก่อให้เกิดการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในกลุ่มชาติพันธุ์และความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรภายนอกที่เข้ามาสนับสนุนและส่งเสริมกระบวนการดำเนินให้มีความเข้มแข็ง สามารถสื่อสาร สร้างการรับรู้สถานการณ์ปัญหาของชุมชนชาติพันธุ์ต่อสังคมสาธารณะได้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนการร่วมเป็นเครือข่ายผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายและกฎหมาย ดังปรากฏในปัจจุบันที่มีการผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นรูปธรรมการดำเนินงานร่วมกันของเครือข่ายที่มุ่งหวังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง

           อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ยังถือเป็นการพัฒนาเครื่องมือและสร้างพื้นที่ของโอกาสในการมีส่วนร่วมของชุมชนชาติพันธุ์ที่จะกำหนดแนวทางการพัฒนาและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสอดคล้องกับบริบทวิถีชีวิต วัฒนธรรมของชุมชน หลายชุมชนได้ร่วมกันสะท้อนและยืนยันว่า แนวคิดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นการสร้างประกันพื้นฐานให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ก่อให้เกิดความมั่นคงในการดำรงชีวิตและเข้าถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักสิทธิพื้นฐานตลอดจนเป็นแนวทางสำคัญที่จะก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะช่วยจัดการความขัดแย้งระหว่างชุมชนชาติพันธุ์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ ในพื้นที่

           ทั้งนี้จากการทบทวนสถานการณ์และถอดบทเรียนการดำเนินงานที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 15 ปี ทำให้ทุกภาคส่วนเกิดความเข้าใจในแนวคิด หลักการ หลักเกณฑ์และเป้าหมายของการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่ชัดเจนขึ้น ที่ประชุมครั้งนี้จึงได้ร่วมกันกำหนดทิศทางการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต โดยม่งให้เกิดการดำเนินงานร่วมกันดังนี้

           1) ชุมชนที่ได้มีการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ต้องมีการทบทวนการจัดทำข้อมูลชุมชนให้มีความครบถ้วน โดยเฉพาะในส่วนข้อมูลพื้นฐานที่จะนำเสนอให้เห็นประวัติศาสตร์ความเป็นมา วิถีชีวิตวัฒนธรรม ปฏิทินชุมชน สถานการณ์ปัญหาและความท้าทายของชุมชน การจัดทำข้อมูลแผนที่แสดงขอบเขตชุมชน แผนที่แสดงพื้นที่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน พื้นที่พิธีกรรม พื้นที่ใช้ประโยชน์และพื้นที่อนุรักษ์ของชุมชน

           2) การจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความสมบูรณ์ แสดงให้เห็นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะเข้ามาร่วมกำหนด และออกแบบแผนบริหารจัดการพื้นที่ทั้งในด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม ด้านการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตบนฐานเศรษฐกิจวัฒนธรรม

           3) การพัฒนาหลักเกณฑ์และแนวทางการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เนื่องจากการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นภายใต้บริบทชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชาวเล และดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2553 ซึ่งมีเงื่อนไขสถานการณ์ภายในเฉพาะที่นำมาสู่การประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี การดำเนินงานในระยะต่อไปจำเป็นต้องมีการออกแบบและพัฒนาเกณฑ์การพิจารณาประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความหลากหลาย และสอดคล้องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในสังคมร่วมด้วย เพื่อให้การดำเนินงานมีความครอบคลุม สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการปกป้อง คุ้มครองอย่างเท่าเทียม


ภาพที่ 5 ภาพแสดงประมวลสรุปข้อมูลการทบทวนสถานการณ์และถอดบทเรียนการขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

ที่มา: เกรียงไกร ชีช่วง (2568)


เจษฎา เนตะวงศ์

นักบริหารเครือข่ายและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ

ฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา