
บรรยายวิชาการออนไลน์สาธารณะ หัวข้อ "สะพานข้ามแม่น้ำแคว, Dark Tourism และแฟนตาซีของความเจ็บปวด"
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เชิญฟังบรรยายวิชาการออนไลน์สาธารณะ
Posthuman Anthropology Series หัวข้อ "สะพานข้ามแม่น้ำแคว, Dark Tourism และแฟนตาซีของความเจ็บปวด"
ชวนถกเถียงผ่านกรอบแนวคิดและวิธีการศึกษาทางมานุษยวิทยากับการศึกษาสถานที่ (place) ที่สัมพันธ์กับการท่องเที่ยวและความตาย ผ่านการทำความรู้จักการท่องเที่ยวเชิงดาร์ค (Dark tourism) ว่าคืออะไร ทำไมคนเราถึงอยากไป ‘เที่ยว’ ยังสถานที่ที่มีคนเจ็บจริงตายจริง มีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังการเดินทางเหล่านั้น ประเภทของการท่องเที่ยวเชิงดาร์ค การท่องเที่ยวเชิงดาร์คบนโลกเสมือน และการท่องเที่ยวเชิงดาร์คในประเทศไทย
วิทยากร
ดร. ปิยรัตน์ ปั้นลี้ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้ดำเนินรายการ
ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
วันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564
เวลา 13.00-15.00 น.
ถ่ายทอดสดทาง Facebook Fanpage: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร-SAC
บรรยายวิชาการออนไลน์สาธารณะ หัวข้อ "สะพานข้ามแม่น้ำแคว, Dark Tourism และแฟนตาซีของความเจ็บปวด"
สรุปการบรรยายวิชาการสาธารณะออนไลน์
หัวข้อ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว (Dark Tourism) และแฟนตาซีของความเจ็บปวด”
วิทยากร: ดร.ปิยะรัตน์ ปั้นลี้ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564 เวลา 13.00-15.00 น. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
การศึกษาเรื่องสถานที่ได้รับความสนใจจากหลายสาขา ทั้งภูมิศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา มานุษยวิทยา ฯลฯ ซึ่งสถานที่คือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีความหมายเฉพาะสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง สถานที่มีปัญหาในทฤษฎีทางมานุษยวิทยาร่วมสมัย เนื่องจากความหมายของสถานที่มักถูกมองข้าม หรือได้รับการพูดถึงน้อยกว่าเวลา ในแง่ของอดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมถึงวัฒนธรรม
นักมานุษยวิทยาหลีกเลี่ยงที่จะศึกษาการท่องเที่ยว เพราะมองว่าประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวเทียบกับสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเผชิญไม่ได้ และมีความคิดเห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ไม่จริงจัง ไม่คุ้มต่อการแสวงหาความเป็นวิชาการ กระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1930 ยุโรปเริ่มศึกษาประเด็นการท่องเที่ยว และมีพัฒนาการศึกษาต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นเรื่องคุ้มค่าต่อการศึกษาทางมานุษยวิทยา โดยช่วงแรกของการศึกษาเน้นประเด็นที่เกี่ยวกับที่มาของการท่องเที่ยว การนิยามการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว การใช้เวลาว่าง และผลกระทบของการท่องเที่ยว
หนังสือรวมบทความ Hosts and guests ของ Valene L. Smith เป็นงานศึกษาการท่องเที่ยวระหว่างประเทศชิ้นแรกๆ ที่มีอิทธิพลต่อมานุษยวิทยาการท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นการศึกษาการท่องเที่ยวที่ใช้ทฤษฎีและระเบียบวิธีทางมานุษยวิทยา ที่ทำให้เกิดการศึกษาการท่องเที่ยวด้วยกรอบทางมานุษยวิทยาที่สัมพันธ์กับมิติต่างๆ ทั้งผลกระทบด้านบวกและลบที่มีผลต่อธรรมชาติและวัฒนธรรม การต่อสู้ อำนาจ การควบคุมทรัพยากร ประวัติศาสตร์ มิติทางด้านชนชั้น อัตลักษณ์ จริยธรรม การเมืองในการท่องเที่ยว ฯลฯ
หนังสือ Hosts and guests ของ Valene L. Smith
ที่มา: https://www.amazon.com/Hosts-Guests-Anthropology-Valene-Smith/dp/0812212800
การท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับความตาย (Dark Tourism) สร้างความสนใจให้กับสังคมและวงการวิชาการเป็นอย่างมาก คำว่า “Dark” ในวงการศึกษาเรื่องนี้ สร้างข้อถกเถียงในแง่ของการจัดประเภทสถานที่ท่องเที่ยวหรือประสบการณ์การท่องเที่ยว โดยนักวิชาการบางคนมีความคิดเห็นว่า การตัดสินว่าสถานที่หรือประสบการณ์การท่องเที่ยว เป็นกระบวนการสร้างทางสังคม (Social construct) มากกว่าข้อเท็จจริงตามวัตถุประสงค์ ที่สร้างขึ้นโดยนักวิชาการด้านการท่องเที่ยว ความหมายของ Dark Tourism ที่ครอบคลุมในสำนักคิดต่างๆ จึงหมายถึง กระบวนการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่เกี่ยวกับความตาย โศกนาฏกรรม หรือการสังหาร ซึ่งเป็นการศึกษาการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับความตายที่เกิดจากธรรมชาติและมนุษย์ เช่น ค่ายกักกัน Auschwitz-Birkanau, พิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Chernobyl ฯลฯ นอกจากคำดังกล่าว ยังมีการใช้คำตามประเภทการท่องเที่ยว อย่างคำว่า Disaster Tourism สถานที่ที่เกิดภัยพิบัติ หรือการท่องเที่ยวสถานที่ที่เคยเป็นสนามรบ เรียกว่า Battlefield Tourism
พิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง
ที่มา: https://justiceinconflict.org/2019/01/28/transitional-justice-at-sites-of-dark-tourism-the-case-of-genocide-memorials-in-cambodia/
การท่องเที่ยวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Chernobyl
ที่มา: https: //www.usatoday.com/picture-gallery/life/tv/2019/06/11/chernobyl-sees-30-increase-tourism-thanks -new-hbo-series/1418800001/
ตัวอย่างงานศึกษาการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับความตาย (Dark Tourism) ที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์ในมิติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานของ Anthony V. Seaton ที่ศึกษาในสถานที่อย่างเรือนจำ หลุมศพ พื้นที่ประหารชีวิต เสนอว่า การท่องเที่ยวเชิง Dark มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อมโยงกับธรรมเนียมมรณะ (Thanatopsis tradition) ซึ่งอาจเกิดความใคร่ครวญถึงความตายที่สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคกลางได้ ส่วนงานศึกษาของ Chris Rojek ศึกษาสถานที่ที่คนดังหรือผู้คนจำนวนมากพบกับความตายอย่างกะทันหันและรุนแรง จนเกิดคำว่า Black Spot Tourism หรือการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของหลุมศพ จนกลายเป็นการจัดงานเพื่อฉายสารคดีในวันและเวลาครบรอบการสังหาร John F. Kennedy อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในดัลลัส รัฐเท็กซัส
ในประเทศไทยสถานที่ท่องเที่ยวเชิง Dark ที่เป็นที่รู้จักคือ สะพานข้ามแม่น้ำแควและทางรถไฟสายมรณะ เป็นสถานที่ที่ให้นักท่องเที่ยวสัมผัสเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความรุนแรงที่เกิดขึ้น สถานที่ดังกล่าวกลายเป็นพื้นที่ศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาที่พยายามทำความเข้าใจการท่องเที่ยวเชิง Dark ผ่านแนวคิด โดยมีผลการศึกษาดังนี้ สถานที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม อันนำมาสู่การสร้างแบรนด์ การตลาด และการโฆษณา อย่างในกรณีนี้ ความทรงจำของสงครามกลายเป็นสินค้าที่ถูกนำเสนอผ่านหลายช่องทาง ทั้งหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว (ททท.) งานภาครัฐ และงานท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเป็นภาพแทนที่ถูกผลิตซ้ำในสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ภาพยนตร์
ทางรถไฟสายมรณะ
ที่มา: https://www.sabaiatkan.com/attractiveplace/kanchanaburi-travel-tham-krasae-or-the-death-rail/
ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวเชิง Dark จะขัดต่อจริยธรรมของสังคม ทั้งด้านการพัฒนา การส่งเสริม และการบริโภคเพื่อการท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นการนำเรื่องต้องห้ามของสังคมอย่างเรื่องความตาย มาทำให้เป็นธุรกิจหรือการแสวงหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง การท่องเที่ยวเชิง Dark เป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ เพื่อให้คนสื่อสาร ถกเถียง พูดคุย และร่วมกันกำหนดค่านิยม ความหมาย ที่อาจจะนำไปสู่การชำระประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ถูกต้อง
เรียบเรียงโดย แพรพรรณ งอมกระโทก
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)